วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ดูอย่างไร…ใครเป็นคู่ตุนาหงัน

 

ดูอย่างไรใครเป็นคู่ตุนาหงัน

เมื่อพานพบผู้คนอันหลากหลายในโลกกว้างจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคู่เราบ้างและเขาผู้นั้นเป็นคู่ประเภทใดการพิจารณาดูว่าใครเป็นคู่บ้างนั้นสามารถดูได้ 3 ระดับความแม่นยำคือ


1.ดวงใจบ่งบอกออกมาเป็นความรู้สึกเป็นวิธีทั่วๆไปที่บุคคลทั้งหลายสามารถสังเกตุได้และล้วนเคยมีประสบการณ์มาแล้วทั้งสิ้นเช่น
เมื่อเจอคู่กัดจะรู้สึกหมั่นไส้ เขม่น อึดอัดแม้จะยังไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน
เมื่อเจอคู่กามจะมีอาการสะดุดใจเล็กน้อยถ้าเพ่งพินิจก็จะกระสันในกันและกัน แต่พอผ่านไปก็ไม่ได้คิดถึงคะนึงหา
เมื่อเจอคู่กรรมถ้าคู่กรรมดี ก็จะรู้สึกถูกชะตา สบายใจอยากเป็นมิตรกัน ถ้าเป็นคู่กรรมชั่ว ก็จะรู้สึกคุ้นเคย พอรู้จักกันจะมีอาการหนักใจเมื่อมาเป็นมิตรกันก็รู้สึกระวังตัว ไม่เปิดใจต่อกันเต็มที่
เมื่อเจอคู่ธรรมจะรู้สึกอบอุ่นมาก สิ่งต่างๆจะกลมกลืนลงตัวสนิทใจ เชื่อใจกัน
เมื่อเจอคู่บารมีประดาพลังผูกพันอันมีอยู่ในใจ จะฉายออกมาเป็นความเบาใจ ความสุขใจ ความอุ่นใจและคิดคะนึงถึงโดยไม่รู้สาเหตุแม้ขณะที่ยังไม่รู้จักกันก็ตาม
เหล่านี้คือความรู้สึกบางส่วนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเจอคู่ของตนแต่วิธีนี้ผิวเผินมากอาจพลาดได้ง่าย


2. การดูภาพซ้อนด้วยตาทิพย์วิธีนี้สามรถทำได้เฉพาะคนฝึกฝนจิตใจตนเองพอสมควรจนมีสมาธิอ่อนๆแล้วเท่านั้น
การเห็นภาพทิพย์ คือจะเห็นกายทิพย์ของเขาที่เป็นอีกกายหนึ่งซ้อนอยู่กับกายธาตุกายทิพย์นั้นจะเกิดจากอำนาจใจและจะแสดงอาการของใจชัดกว่ากายเนื้อบางคนกายเนื้อเฉยอยู่ แต่กายทิพย์แอบแผ่รัศมีมาทางเรา หรือมาโอบเราไว้ก็มีหรือหากไม่มีอาการดังกล่าวอย่างน้อยก็จะเห็นเป็นร่างทิพย์ที่คุ้นมากซ้อนอยู่กับร่างธาตุหยาบนี้นั่นแสดงว่าอาจจะเป็นคู่ประเภทใดประเภทหนึ่งของเราก็ได้
วิธีนี้เป็นวิธีที่ชัดลึกกว่าความรู้สึกแต่ยังไม่เที่ยงตรงเท่าวิธีต่อไป


3. การระลึกชาติวิธีที่จะตรวจสอบได้แน่นอนมากก็คือการระลึกชาติการระลึกชาติอาจทำได้2กรณี
1) ระลึกคนเดียวหากใครคนใดคนหนึ่งฝึกจิตพอสมควร ก็จะระลึกได้ว่าชาติก่อนตนเคยเป็นคู่กับใครหรือใครเป็นคู่กับตน เป็นอยู่กันอย่างไรมีอธิษฐานร่วมกันหรือไม่
2) ระลึกคู่ การระลึกชาติคู่คือระลึกพร้อมกันทั้ง2คน ซึ่งทั้งคู่จะเห็นภาพในอดีตของตนได้ว่าเคยอยู่กันมาตั้งแต่ไหนอย่างไรย้อนไปเป็นชาติๆ


คนที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องมีสมาธิดีมากถ้าสมาธิไม่ดีพอจะรู้สึกเป็นพลัง เคลื่อนออกมาจากใจเป็นระลอกๆเฉยๆ โดยไม่เห็นภาพแต่ความรู้สึกที่ปรากฏก็จะชัดเจนว่าเป็นความผูกพันของบุญบาปบารมีที่บำเพ็ญร่วมกันมามากบ้างน้อยบ้างการระลึกชาตินั้นมีหลายระดับคือ
การระลึกชาติระดับต้น เมื่อมีสมาธิระดับต้น คือฌานสอง ที่ระงับ วิตก วิจารในสิ่งทั้งหลายแล้วจิตก้าวล่วงจากการเกาะเกี่ยวในกาลเวลาแล้วน้อมใจดูอดีตจะเห็นเป็นภาพแห่งอดีตปรากฏขึ้นชัดมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับระดับสมาธิแต่การระลึกชาติในระดับนี้มีความเที่ยงตรงต่ำเพราะจิตระดับนี้แม้ได้สมาธิบ้างแล้วแต่ยังไม่มั่งคงนัก จิตจะปรุงแต่งได้ง่ายดังนั้นยังเชื่อถือไม่ได้เต็มที่การเห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นอาจจะถูกก็ได้ผิดก็ได้ ดังนั้น การเห็นในระดับนี้จึงยังไม่ควรสนใจ
การระลึกชาติระดับกลาง เมื่อมีสมาธิระดับกลาง คือฌานสาม ที่ระงับปิติแล้ว ใจจะเป็นสุขอยู่กับตนเองเมื่อเพ่งเข้าไปในใจให้ลึกยิ่งขึ้นโดยลำดับจะปรากฏเป็นสัญญาณแห่งความทรงจำในอดีตไหลเคลื่อนออกมาทาง node เหนือหัวใจแล้วมาปรากฏเป็นภาพที่สมอง การระลึกในระดับนี้มีความเที่ยงตรงมากขึ้นแต่ความชัดเจนจะยังไม่สมบูรณ์
การระลึกชาติระดับสมบูรณ์เมื่อมีสมาธิระดับสูง คือฌานสี่ ละความสุข ละความทุกข์ ละความดีใจละความเสียใจได้ ใจเป็นอุเบกขาด้วยสติอันบริสุทธิ์แล้วเพ่งภายในโดยลำดับและปล่อยวางโดยลำดับจนกระทั่งมีการล้างสัญญาของปัจจุบันชาติออกหมด ซึ่งจะมีอาการปรากฏเหมือนไฟฟ้าช๊อตดั่งว่าจะตาย ไม่ต้องกลัวจงยอมตายเสีย (หาไม่จะค้างภาวะสัญญาใหม่คลายออกไม่หมด)เมื่ออาการดังกล่าวหยุดลงแล้ว จะปรากฏตัวเราในอดีตชาติออกมาจากตัวเราที่นั่งอยู่อย่างชัดเจน การระลึกชาติในระดับนี้เป็นการระลึกแบบสมบูรณ์เที่ยงตรง ไม่มีความผิดเพี้ยนใด ซึ่งบุคคลจะระลึกชาติได้นั้นต้องฝึกสมาธิเป็นประจำจนได้สมาธิจริงๆ จึงจะระลึกได้สิ่งที่สำคัญมากคืออย่านึกเดาเอาเองว่าอดีตเราเคยเป็นอะไรเพราะนั่นคือ
ความฝันกลางวันหรือแม้ฝันกลางคืนก็ยังเชื่อถือไม่ได้เพราะความฝันของมนุษย์นั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่น ธาตุกำเริบ จิตใจหมกมุ่น สมาธิอ่อน เจตภูตออกเที่ยวหรือพรายนิมิต

เนื้อคู่

บุคคลที่อยู่ในระดับสูงของวิวัฒนาการแล้วและมีคุณสมบัติเป็นมนุษย์พิเศษจำนวนมากที่ไม่มีคู่ชีวิต เช่น พระสารีบุตรพระโมคัลลานะ พระกัจจายนะ พระรัฐปาลและพระราหุล เป็นต้นแต่บุคคลเหล่านี้จะมีคู่ธรรมแทนเช่น
พระสารีบุตรเป็นคู่ธรรมกับพระโมคคัลลานะ จะเกิดด้วยกันเกือบทุกชาติเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งชาติสุดท้ายได้สำเร็จอรหันต์ในตำแหน่งอัครสาวกด้วยกันนับเป็นเพื่อนแท้อีกคู่หนึ่งในโลก หรืออย่างพระราหุล กับพระนางอุบลวรรณา(กัณหา-ชาลี ในอดีตชาติ)เป็นคู่ธรรมกันมักจะเกิดเป็นพี่น้องกันเกือบทุกชาติเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลการปฏิบัติธรรมของกันและกันนับเป็นพี่น้องที่ยืนยาวมากอีกคู่หนึ่งในโลกบุคคลเหล่านี้ท่านไม่นิยมคู่ชีวิตเพราะยุ่งยาก ไม่เป็นอิสระไม่เอื้อต่อความสงบจึงมีคู่ธรรมแทน
บุคคลที่ควรจะมีคู่คือ ผู้ที่จะบำเพ็ญเพียรเป็นพระพุทธเจ้าบุคคลเหล่านี้จะต้องฝ่าความระกำลำบากนานาประการ เป็นสัตว์ทุกชนิดเป็นมนุษย์ทุกประเภท เป็นเทวดาทุกภพทุกภูมิ เป็นพรหมทุกชั้นต้องเคยอยู่เคยเป็นทุกอย่าง เพื่อจะได้รู้แจ้งแทงตลอดธรรมชาติอย่างโปร่งปรุพระพุทธเจ้าเปรียบว่าผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเสมือนคนที่เห็นทะเลกำลังเดือดแล้วประสงค์จะว่ายน้ำ ฝ่าทะเลเดือดเพื่อไปช่วยมหาชน ณ ฝั่งที่ยังมองไม่เห็นใครมีความกล้าอุทิศตนถึงเพียงนี้ จึงอาจบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้และในการบำเพ็ญตลอดทางอันไกลกันดารยาวนานนั้น มักจะทรงเลือกคู่บารมีเพื่อจะคอยเกื้อกูลประคับประคองกันในการปฏิบัติธรรม
หากจะถามว่าพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรอยู่นั้นกับคู่บารมีของพระองค์มีทุกข์ระหว่างกันบ้างหรือไม่ ก็บอกได้เลยว่ามี มีมากกว่าคนธรรมดาด้วยเพราะความผูกพันอันยาวนานจะฝังรากลึก เวลาสมหวังก็ดีใจลึกๆเวลาผิดหวังก็เสียใจร้าวลึกเช่นกันแต่คนที่จะเป็นคู่บารมีได้จะต้องอุทิศชีวิตให้แก่กันและกันได้และจะต้องมีอธิษฐานจิตกำกับทุกชาติไปดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงมักถูกคลี่คลายได้โดยไม่ยาก
สำหรับมนุษย์โดยทั่วไปที่ไม่ได้อธิษฐานเป็นคู่กันตลอดกาลมักจะพานพบและมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามอย่างสับสนชาติหนึ่งอาจจะเป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง พออีกชาติหนึ่งไปเป็นคู่กับอีกคนหนึ่งชาติอื่นอาจจะไปเป็นคู่ของคนอื่นอีกเรื่อยไปต้องเริ่มต้นเรียนรู้ทำความเข้าใจกันใหม่อยู่ร่ำไปครั้นมาเจอคู่คนเก่าในชาติเดียวกันก็จะหลายใจ และมักมีปัญหาความสำส่อนตามมาอันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งสิ้น จึงทำให้เกิด คู่กัด คู่กามคู่กรรมตามแต่กรณี


ที่มา http://www.watcharathath.com/modules...1&new_topic=19

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น