วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การแผ่เมตตา ให้วิญญาณ ไปสู่ภพภูมิที่ดี

เขียนโดย..... ก้อย

คุณเคยเห็นผีมั้ย....ถ้าเคย คุณทำอย่างไร

ก. ตกใจ กลัว วิ่งหนี

ข. สวดมนต์ (ผิดๆถูกๆ) เพื่อให้ผีกลัว

ค. พยายามแผ่เมตตาให้เขา

...

ช่วยด้วย! ฉันเห็นผี....

เชื่อว่า หลายๆท่านคงเคยได้ยินมา ว่า การที่ผีมาปรากฎให้เราเห็น ก็เพราะอยากจะขอส่วนบุญจากเรา...

ความคิดนี้เป็นไปได้นะ เพราะวิญญาณเหล่านี้ ตายไปแล้ว ไม่สามารถที่จะสร้างบุญสร้างบารมีได้แล้ว ไม่เหมือนตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ วิญญาณเหล่านี้ มักเป็นวิญญาณที่ เร่ร่อน เป็นสัมภเวสี หรือ ตายแล้ว ก็ ไปสู่อบายภูมิ ได้รับความทุกข์ทรมาน ซึ่งบางคนก็อยู่มานานเป็นสิบปี ร้อยปี ยังไม่สามารถไปเกิดได้ เพราะเขายังไม่รู้จักทาง หรือ อยากไป แต่บุญยังไม่พอ นั่นจึงเป็นสาเหตุ ที่เขามาปรากฎให้เราเห็น หลายๆท่านเห็นวิญญาณ ก็ตกใจกลัว ...แต่ในทางกลับกัน เขามาเพื่อที่จะขอส่วนบุญจากเรานั่นเอง

เมื่อเขามาขอส่วนบุญ แล้วเราควรจะทำยังไงล่ะ หรือมีวิธีใดที่จะช่วยเขาได้ล่ะ

ตอบ ไม่ยากเลยค่ะ .. ขอเพียง คุณ ลดความกลัวลง และ ตั้งสติให้ดี ขั้นตอนต่อไป อย่างง่ายๆเลย ก็เริ่มจากการ ตั้งจิตให้แน่วแน่ แล้วแผ่เมตตาให้เขาไป การแผ่เมตตา ก็เอาแบบที่คิดว่าตัวเองถนัด ข้อสำคัญ ตอนที่แผ่ต้องเป็นสมาธิ หมายถึงต้องดูลมหายใจให้เป็นปกติเสียก่อนแล้วค่อยแผ่ออกไป หาก ใจวอกแวก ยังตกใจกลัว หรือ รีบแผ่ให้เขาไปๆซะ ก็จะไม่ได้ผลนะ

แล้วอย่างนี้ ต้องได้ญาณก่อนมั้ย ถึงจะแผ่ได้ผล

ตอบ การที่ถามว่าต้องได้ญาณไหมก็ต้องได้นะ ญาณหนึ่ง ไง ..... แต่ การได้ ญานหนึ่งนั้นทำได้กันทุกคน นะ ไม่ได้ยากอย่างที่เข้าใจ ญาณหนึ่ง นั้นก็คือ การดูลมหายใจเป็นปกติ วางใจสบายๆ ดูว่าลมหายใจเข้า-ออก แบบไม่บังคับกระแสลม อันนี้ก็ญาณหนึ่งแล้ว

แล้วจะพูดยังไงล่ะ...

ตอบ คำแผ่เมตตา จริงๆแล้ว จะเอาแบบไหนก็ได้ แล้วแต่ถนัด จะเอาแบบสั้นหรือยาว ก็ได้ แล้วแต่..
แต่หลวงพ่อฤาษีท่านแนะนำให้เอาแบบสั้นและกระทัดรัด

เพราะเหตุว่าท่านเคยเจอผี มาขอส่วนบุญ ขณะกำลังภาวนา ด้วยความที่นึกได้แต่บท อิมินาฯ จึงแผ่ด้วยบท อิมินา ซึ่งยาวมาก หลวงพ่อแผ่ไม่ทัน ผีนั้นถูกจับไปลงโทษก่อน พอท่านพบกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ในตอนเช้า ท่านก็บอกว่า

------"ไงพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง สวดอย่างนั้นผีจะได้กินเหรอ"

"ทีหลังผีมาละก็ ผีมันอยู่นานไม่ได้ บางทีก็หลบหน้าเขามานิดหนึ่ง ถ้ามานั่งใกล้เรา ทุกขเวทนาอย่างเปรตนี่ ไฟไหม้ทั้งตัว หอกดาบฟัน เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ บุญของเรานี่สามารถจะช่วยให้เขามีความสุขได้ เพราะถ้ามานั่งข้างหน้าใกล้ๆเรานี่ ไฟจะดับ หอกดาบจะหลุดไป แต่ว่าจะอยู่นานไม่ได้ ต้องพูดให้เร็วเพราะเขาจะต้องไปรับโทษเวลาอุทิศส่วนกุศลให้ว่าเป็นภาษาไทยชัดๆ และให้สั้นที่สุด"

ให้บอกว่า "บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

(ติดตามอ่าน ได้ที่ การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย )-------

สรุปก็คือ ถ้าจะคิดจะแผ่เมตตา ให้พวกภพภูมิต่ำๆรับได้ ก็ให้ท่องสั้นๆ และชัดเจนต่อเนื่อง เพราะเขาไม่มีเวลารอ
ผิดกับ พวกภพภูมิสูง เช่น พรหม เทวดา ที่ท่านสามารถรอได้

แบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ท่านแนะนำไว้ในหนังสือมีว่าประมาณนี้นะ
---------------------------------------------------------
บุญใดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันจะให้ประโยชน์กับข้าพเจ้ามากมายเพียงใดขอให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์เหมือนข้าพเจ้าเช่นกัน
จงมาอนุโมทนาบุญข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ
---------------------------------------------
จะปรับเปลี่ยนแบบใกล้เคียงหรือระบุชื่อก็ตัวอย่างเช่น
อยากแผ่ให้ผู้ตายชื่อแดง ก็ว่า ....
-------------------------------------------
บุญใดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันขอให้นายแดงจงได้รับเหมือนกับข้าพเจ้าเช่นกัน จงมาอนุโมทนาบุญนั้นด้วยเทอญ สาธุ
-------------------------------------------------
เพียงสั้นๆเท่านี้ก็ได้ผลแล้ว ไม่จำเป็นต้องยาวและเป็นภาษาบาลีหรอก
หากเป็นภาษาบาลีก็ต้องรู้ความหมายด้วยนะไม่งั้นก็เหมือนเราท่องอะไรไม่รู้ ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ก็เลยส่งไปไม่ถึงเหมือนกัน ผีก็รับไม่ได้ เหมือนกัน ทุกวันนี้บางคนคิดว่าภาษาบาลีดีกว่า จริงๆได้เหมือนกันแต่สำคัญว่าคนส่งบุญนั้นรู้ความหมายหรือไม่ ถ้าท่องแบบไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ก็ได้ผลน้อย
---------
สำหรับองค์ประกอบที่จะแผ่เมตตาได้ผล น่าจะประกอบด้วย
1.สมาธิอย่างน้อยปฐมญาณ (ญาณหนึ่ง)
2.ผู้ส่งต้องเข้าใจความหมายข้อความที่ส่งไป
3.เวลาที่ผู้รับสามารถรอได้
4.บุญบารมีของผู้ส่ง เป็นคนปฏิบัติได้ดี หรือไม่

แล้วถ้าเราอยากจะช่วย คนที่ตายไปแล้ว แต่ไม่ได้มาหาเราหรือมาหาเราไม่ได้ล่ะ ทำได้มั้ย

ตอบ ทำได้สิ เพียงแต่คุณต้องเจริญให้สมาธิมากๆ หรือแม้แต่ถ้าเราบังเอิญ ได้ไปรับรู้ถึง วิญญาณใคร หรือได้พบกับเจ้ากรรมนายเวรของใคร แล้วเรามีจิตเมตตา คิดอยากช่วย ให้เขาไปเกิดในภพภูมิที่ดี เราก็สามารถช่วยได้นะ หรือเราทราบจากข่าวว่า มีใครตายที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร เราอยากช่วยเขา เราก็ช่วยได้... เพียงแต่ เราต้องเรียกเขาก่อน และลองพูดคุยกับเขาดู ให้เขารับรู้ คือ สอนธรรมให้เขา สอนแบบที่ง่ายๆก่อน เช่น เรื่องบาป บุญ กฏแห่งกรรม ศีลห้า พรหมวิหาร4 เรื่องการอนุโมทนาบุญ และที่สำคัญ คือชี้แนะ เรื่องของภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิด ... เมื่อจิตเขายินดีแล้ว เราก็ให้เขาอนุโมทนาบุญ และเราก็แผ่เมตตาตามไป เขาก็จะได้ ไปสู่ภพภูมิที่ดี

การที่เรารู้เรื่องพวกนี้แล้วพูดกับเขา จะช่วยให้เขาเข้าใจว่า เราสนใจเขาและอยากจะช่วยเขาจริงๆ เหมือนคนนั่นแหละ พอรู้ความเป็นไปมากๆ ไปสะกิดเรื่องบุญเรื่องบารมีเก่าๆ ก็จะทำให้เขานึกถึงแต่บุญ แล้วก็ได้ไปในที่ดีๆ ...เรื่องไปภพภูมิที่ดีนี่สำคัญนะ หากเราแผ่เมตตาและชี้แนะให้เขาไปในภพภูมิที่ดีได้ เราก็จะพลอยได้บุญตามเขาไปด้วยทีเดียว ฉะนั้น เวลาคนเราตายไปแล้วนี่ ไม่ต้องไปจองเวรอะไรเขาแล้วนะ ให้อภัยเขาอย่างเดียวพอ พอเขาไปภพภูมิที่ดีแล้ว เราก็จะพลอยได้กุศลไปด้วยเท่านั้นแล

วิธีเรียกคนที่เราอยากจะช่วย
1.รู้ชื่อ เล่น ชื่อจริง
2.รู้ว่าตายอย่างไร ตายเมื่อไร ตายที่ไหน
3.อายุเท่าไร มีคนอื่นๆเกี่ยวพันอย่างไร เช่นลูกมีไหม ภรรยา สามี มีไหม
4.ประวัติคร่าวๆ
5.ถ้ามีภาพถ่ายคนๆนั้นจะดีมากสามารถสื่อได้ดีขึ้น

หากเอาคนใกล้ชิดมาเรียกได้จะดีมากเพราะเขาจะคอยตามคนนั้นอยู่หรือไม่ก็จะมีส่วนเกี่ยวพันกัน หากเราไปเรียกเราไม่เกี่ยวกับเขาเลยมันยากมาก ยิ่งถ้าไม่รู้จักกันเลยนี่ก็ยากมากๆนะ

การที่เราเห็นหรือรู้ว่าคน ๆ นั้น ชื่อนี้ หน้าตาแบบนี้ เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต (หรือเสียชีวิตด้วยโรคร้ายก็ตาม) แล้วเราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ โดยที่ผู้ตายไม่รู้จักกับเรามาก่อน เขาจะได้รับบุญที่อุทิศให้หรือไม่ ? และที่ถูกควรอธิษฐานอย่างไร ?

ตอบ ได้รับ ถึงไม่รู้จักชื่อ – นามสกุล แค่นึกถึงผู้ตายให้มาอนุโทนาเขาก็ได้รับ

มีบ้างไหมที่แผ่เมตตาไปแล้ว ให้เขาอนุโมทนาบุญกับเราแล้ว ไม่ได้ผล

ตอบ มีนะ บางท่านนั้นให้นึกอนุโมทนาบุญเราท่านนึกไม่ออก แต่ให้นึกถึงบุญเขาเองกลับได้ผลดี ก็มี ...การแผ่เมตตาส่วนใหญ่ เราจะบอกให้เขาอนุโมทนาบุญเรา ... ถ้าเป็นแบบนั้น ลองทำอีกแบบดู คือให้เขานึกถึงบุญของเขา ตัวอย่างดังนี้นะ
" ขอให้ท่านทั้งหลายนึกถึงบุญที่ท่านได้ทำไว้ ท่านอาจจะเคยบวช เคยรักษาศีลอุโบสถ เมื่อครั้งอดีตชาติหลายภพหลายชาติ ในทวีปต่างๆ เช่น ชมพูทวีป อมรโคยานทวีป บุรพวิเท่ห์ทวีป อุดรกาโรทวีป ท่านจงนึกถึงบุญบารมีเก่าของท่านเถิด สาธุ " แบบให้เขานึกถึงบุญเก่าของเขา

อยากช่วยเค้าเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ทราบว่าบุญจะถึงหรือเปล่า ต้องทำอย่างไรบ้างคะ

ตอบ เท่าที่ทำได้คือ เรารู้จักใครก็ช่วยเรียกเขาและให้เขานึกถึงบุญ นึกถึงพระพุทธเจ้า
หากเขาไม่อยู่ในอบายภูมิที่ลึกเกินไปก็พอจะช่วยได้
หากสามารถเห็นหรือรับรู้ถึงเขาได้ก็จะพอช่วยได้ดีขึ้น
หากเป็นคนใกล้ชิด รู้จักกัน หรือไม่ก็เกี่ยวพันกันเมื่ออดีตชาติก็จะช่วยได้ง่ายครับ

ถ้าเรามองไม่เห็นผี แต่ถ้าเราเข้าไปในที่ต่างๆแล้วแผ่ส่วนกุศลให้แก่ผีทั้งหลายในบริเวณนั้นๆ ไม่ทราบพวกเค้าจะได้รับหรือเปล่าครับ

ตอบ แล้วแต่ครับ พวกที่ไม่รู้จักอนุโมทนาเขาก็รับไม่ได้
พวกที่ไม่รู้จักธรรมก็รับไม่ได้
พวกที่เคยเกี่ยวพันกับเราเมื่ออดีตชาติจะรับได้ดี

อยากทำได้บ้างจังเลยค่ะ อยากรู้ทุกข์ ของเขาด้วยค่ะ ดิฉันเคยเดินผ่านป่าช้า มาแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นเลยค่ะ เห็นจริงๆ แค่ ครั้งเดียว ตอนนั้น ตอนแรก คิดว่า เป็นคน แต่พอถามเจ้าของบ้าน เขาบอกว่า คืนนั้น ห้องนั้น ไม่มีใครมานอนด้วย ตอนที่เจอน่ะ ตี 2 และ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำด้วยค่ะ ตอนที่เจอเธอ ยังสงสัย ว่า คนหรือ ผี เพราะ นอน อยู่ เป็นเดือน ห้องติดกัน ก็ไม่มีใครมานอน เป็นห้องที่ไม่ได้ทำความสะอาด มาเป็นเดือนค่ะ และก็ไม่เคยมีใครมานอน มาเจอเธอ ที่ประตูห้องที่ ว่างเปล่า ตอนตี 2 น่ะ ใส่ชุดดำ ( ให้ใช้วิจารณาญาณ ในการอ่านน่ะ ) ด้วยค่ะ ทุกวันนี้ยังสงสัย อยู่ว่า เธอ เป็นใคร แต่ ใส่บาตร และ อุทิศส่วนกุศล ให้เธอไปแล้ว ด้วยค่ะ
และ จำได้ ว่า อีกครั้ง ตอนยังเด็กๆ อยู่ ไปเที่ยวกับ ครอบครัว และ ช่วงที่กำลังรอ ข้ามถนน ก็มีชายคนหนึ่ง กระโดด ลงจากรถบัสประตูหน้า แต่ปรากฎว่า เขากระโดด อย่างไร ไม่ทราบ ล้อหลัง ทับเขา เสียชีวิต ต่อหน้า ต่อตา ดิฉันเลยค่ะ ยังจำได้อยู่ถึงทุกวันนี้เลยค่ะ ว่า นี่แหละ สัจธรรม ความตาย มาถึงเราได้เสมอ เพราะฉะนั้น จง ทำให้ดีที่สุด ใน ขณะที่มีลมหายใจน่ะค่ะ

ตอบ เจอแบบนี้ แสดงว่า คุณมีบุญอยู่มาก เขาถึงมาให้เห็น เพื่อที่จะได้บุญจากเรา ก็คือเขามาเพื่อขอบุญนั่นเอง ต่อไปเห็นบ่อยๆก็จะชินแล้วก็เป็นการฝึกจิตให้เข้มแข็งไปด้วย ได้กุศลแบบที่เราไม่ต้องเสียตังค์ และได้เยอะด้วยนะ
การบำเพ็ญบารมีแบบนี้ไม่ได้เสียอะไรมีแต่จะทำให้บุญบารมีเรามากขึ้นไปเรื่อยๆ เราอย่าไปกลัวเลยผี นึกไว้ว่าเขาน่าสงสารดีกว่าไปกลัวเขา เมื่อจิตใจเข้มแข็งแบบไม่กลัวแล้ว ผีก็จะมาให้เห็นบ่อยขึ้นเอง
แล้วเราก็จะได้สร้างกุศลแบบนี้ไปเรื่อยๆ โกยบุญแบบสบายๆที่หลายๆคนทำไม่ได้

ที่มา ... กระทู้ " เชิญร่วมกันสร้างบารมีด้วยการแผ่เมตตาและคุยกับผี ให้เขาไปสู่ภพภูมิที่ดี" จากเว็บบอร์ดพลังจิต โพสต์โดย คุณ piakgear24

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คาถาสำหรับขอขมาพระรัตนตรัย และใช้เพื่อถอนคำสาปแช่ง ในอดีตชาติ‏

ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างหรือเปล่า


ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างก็ไม่รู้ด้วยคำสัญญา
เช่น เราจะรักกันทุกชาติไป
โดยหารู้ไม่ว่ากรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ชาติภพใหม่ก็เลยแตกต่างกันไป
แต่คำมั่นที่สาบานยังอยู่
อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณยังเป็นโสดจนทุกวันนี้
ลองสวดมนต์บทนี้ดูอาจจะดีขึ้นนะคำขอขมาและอธิษฐานจิต
อธิษฐานหน้าพระพุทธรูปหรือสวดก่อนนอนก็ได้

( นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ3 จบ )

สัพพังอะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพังอะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะขะมามิ ภันเต
'หากข้าพเจ้าจงใจหรือประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินบิดา-มารดา
ครูบาอาจารย์ พระพุทธพระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์พระอริยสงฆ์เจ้า
ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรวมถึงผู้มีพระคุณ
และท่านเจ้ากรรมนายเวรจะด้วย กาย วาจาใจก็ดี
ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยหากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา
ขออนุญาติมีคู่มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไปขอถอนคำอธิษฐาน
คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต
ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน
ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร
ขอบุญบารมี ในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว
ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
ลาภ ยศ สุขสรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณธนสารสมบัติอุปสรรคใดๆ
โรคภัยใดๆขอให้มลายสิ้นไปขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก
ทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า
ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตามข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้
ขอถอนความพยาบาทความอาฆาต และคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ
ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร'
คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ
แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่แตกต่างกัน
การสวดขอขมาเพื่อลดและปลดหนี้กรรมให้น้อยลง
คาถาบทนี้เป็นคาถาที่ใช้สำหรับขอขมาพระรัตนตรัย
และใช้เพื่อถอนคำสาปแช่งในอดีตชาติ ที่ติดตามมา
เพราะเราไม่รู้ว่าเคยได้ล่วงเกินปรามาสใครไปบ้างก็ไม่รู้ไม่เว้นแม้กระทั้ง
พระพุทธองค์พระอรหันต์ พ่อ แม่ เป็นต้น
เพราะบางคนทำการใดๆมักมีอุปสรรค หรือมักมีคนไม่ชอบหน้า


- ขอผู้ได้รับใบคำขอขมาและอธิษฐานจิตนี้
กรุณาส่งให้ผู้อื่นต่อเพื่อสร้างผลบุญบารมีต่อไป




วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเจอกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมากคบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน

ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่าคู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมากร้องไห้
ไม่กินไม่นอนไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ



เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปหาหมอเท่าไหร่ ก้อไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้าน

จึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่าเป็นพระจึงบอกว่า
ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตา แล้วพูดว่า
"อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาตร ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย"
อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึเปล่า

เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้ง แต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน
เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า "อยากเข้ามาก็เข้ามา!"

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอน
พบว่าชายคนดังกล่าว นอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียวร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ

เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา
พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า "อาการหนักเลยนะ"
ชายคนนั้นนิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี "จึงกล่าวว่าโทรมมากเลยนะ"
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่า "ไม่เชื่อลองมองที่กระจกสิ"

ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น
ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้น เงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบมีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด

เวลาผ่านไปซักครู่มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้น ด้วยความรังเกียจแล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่ มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมาเขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมาเขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่
จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่าเป็นศพด้วยใจสงสาร
จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง2ข้าง ค่อยๆกอบทรายขึ้นมาเขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น
พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก
เขาได้เห็นก็ตกใจ พอซักพักก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป
เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า "ทีนี้เข้าใจรึยัง
ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ
ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา
ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี
วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"

เมื่อชายคนนั้นฟังจบ ก็กระอักเลือดออกมา
เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า
"โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือด เอาเลือดเสียออกมาแล้ว"

ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด

คนเราเจอกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ความสัมพันธ์ พ่อ,แม่,พี่,น้อง,ญาติ,เพื่อน,ศัตรู,คนรัก ฯลฯ
ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน

เมื่อสิ้นวาสนาก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่
ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกันไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้

ทำดีต่อกันไว้ดีกว่าเพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อานิสงส์การบวชพระ-บวชชีพรามณ์

อานิสงส์การบวชพระ-บวชชีพรามณ์

[บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ, อุทิศให้พ่อแม่-เจ้ากรรมนายเวร]


1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา


2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย


3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย



4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆ ไป


5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา


6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต


7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา


8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ


9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย


10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่

สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้
เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้
ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ถ้ารัก คือ...ฟัน


รักคงมั่น คือ...ฟันแท้
รักร่อแร่ คือ...ฟันโยก
รักโสโครก คือ...ฟันดำ
รักถลำ คือ...ฟันเหยิน
รักหมางเมิน คือ...ฟันห่าง

รักร้าง คือ...ฟันหลอ
รักหงิกงอ คือ...ฟันกุด
รักบริสุทธิ์ คือ...ฟันขาว
รักชั่วคราว คือ...ฟันปลอม
รักอ่อนซ้อม คือ...ฟันร่วง
รักสีม่วง คือ...ฟันเก
รักจำเจ คือ...ฟันซ้อน
รักสลอน คือ...ฟันแทรก
รักแรก คือ...ฟันน้ำนม
รักระบมคือ...ฟันผุ
รักคิกขุ คือ...ฟันกระต่าย
รักสลายคือ...ฟันหลุด
รักชำรุด คือ...ฟันสึก
รักเจ็บลึก คือ...ฟันคุด
รักตุ๊ด คือ...ฟันหนุ่ม
รักทั้งกลุ่ม คือ...ฟันหมด
รักสลด คือ...ฟันพลาด
รักต่างชาติ คือ...ฟันฝรั่ง
รักปิดบัง คือ...ฟันชู้
รักอุดอู้ คือ...ฟันช้า
รักกะฮาคือ...ฟันเล่น
รักไม่เป็น คือ...ฟันดะ
รักเธออยู่เสมอ จริงๆ นะ...ฟัน

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อโหสิกรรม

อโหสิกรรม

คำว่า อโหสิกรรม มาจากคำ ๒ คำ คือ

อโหสิ เป็นคำภาษาบาลีแปลว่า “ได้มีแล้ว” หมายความว่า ได้ให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว

กับคำว่า กรฺม ซึ่งเป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า“การกระทำ”หมายถึงการกระทำที่มีเจตนา

อโหสิกรรม แปลรวมกันว่า กรรมที่ไม่ส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมอีกต่อไป


ตามหลักพระพุทธศาสนาบุคคลที่ทำกรรมดีหรือกรรมชั่วโดยมีเจตนาในการทำกรรมนั้นจะต้องได้รับผลกรรมตามสมควรแก่การกระทำของตนคนที่ทำร้ายผู้อื่นคนที่คดโกงหรือฉ้อราษฎร์บังหลวงก็จะได้รับผลกรรมนั้น
เช่น ตนเองได้รับโทษถูกจำคุกหรือลูกหลานประสบเคราะห์ร้ายต่าง ๆทำให้ตนต้องเสียใจทุกข์ทรมานเพราะการสูญเสียหรือแม้ไม่ได้รับกรรมในชาตินี้ กรรมก็จะติดตามไปส่งผลในชาติหน้า

แต่กรรมที่ทำไว้นั้นถ้าเป็นกรรมเบาอาจจะไม่ส่งผลก็ได้หากทำให้กรรมนั้นเป็นอโหสิกรรมวิธีทำกรรมให้เป็นอโหสิกรรมวิธีหนึ่งคือการยกโทษให้เช่นเมื่อเราประพฤติล่วงเกินผู้อื่นด้วยกาย วาจา หรือใจแล้วไปขอให้ผู้ที่เราประพฤติล่วงเกินยกโทษให้เมื่อท่านยกโทษให้แล้วก็ถือว่ากรรมนั้นเป็นอโหสิกรรมไม่ให้ผลอีกต่อไปทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

ในภาษาไทยคำว่า “อโหสิกรรม” จึงกลายมามีความหมายว่า การเลิกแล้วต่อกัน การไม่เอาโทษกันการเลิกจองเวรกันในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธเมื่อได้ประพฤติล่วงเกินผู้อื่น ก็ควรขอให้ผู้นั้นยกโทษให้และในทำนองเดียวกันหากมีผู้มาขออโหสิกรรมจากเรา ก็ควรยกโทษให้ไม่อาฆาต พยาบาท จองเวรกันเมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความรักใคร่กันและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

การที่เราประพฤติล่วงเกินผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือใจเราจะต้องรับกรรมนั้น อาจจะในชาตินี้หรือชาติหน้าแต่ถ้าเราทำกรรมนั้นให้เป็น “อโหสิกรรม” คือขอให้ผู้ถูกล่วงเกินนั้นยกโทษให้ กรรมนั้นก็จะสิ้นผล เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่หมดสิ้นเชื้อชีวิตแล้วไม่อาจเพาะขึ้นเป็นต้นไม้ได้อีก

มีเรื่องเล่าไว้ในอรรถกถาธรรมบทว่ามีบุตรชายของเศรษฐีคนหนึ่งอยู่ในเมืองโสเรยฺยนครได้เดินทางไปเมืองสาวัตถี และได้พบพระมหากัจจายนเถระพระอรหันต์ที่สำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนาพระมหากัจจายนเถระเป็นผู้มีรูปโฉมงดงามมากบุตรชายของเศรษฐีนั้นเห็นท่านแล้วเกิดอกุศลจิตคิดว่า “ภรรยาของเราควรจะมีผิวพรรณงดงามเช่นพระเถระนี้” การล่วงเกินต่อพระอรหันต์เช่นนี้ ทำให้ได้รับกรรมทันตาเห็นคือกลายร่างเป็นหญิงไปในทันที

บุตรชายเศรษฐีรู้สึกละอายมากที่ร่างกายกลายเป็นหญิงจึงไม่ยอมกลับบ้านเมืองและไปอาศัยอยู่ที่เมืองตักกสิลาจนกระทั่งได้แต่งงานกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีในเมืองตักกสิลาและมีบุตรด้วยกัน

ต่อมาเขาได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งที่เดินทางมาจากเมืองสาวัตถีเขาจึงเล่าเรื่องราวให้เพื่อนฟังว่าเหตุใดจึงมีร่างกายเป็นหญิงเพื่อนผู้นั้นแนะนำว่าให้ไปขอขมาต่อพระมหากัจจายนะเขาจึงได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเพื่อนเมื่อพระมหากัจจายนเถระทรงทราบเช่นนั้นก็ยกโทษให้กรรมที่เคยล่วงเกินท่านก็เป็นอโหสิกรรมคือสิ้นผลบุตรของเศรษฐีผู้นั้นก็หมดกรรม และกลับมีร่างกายเป็นชายเช่นเดิม

คัดลอกจาก: http://dhammathai.org/webboard/view.php?No=2021

ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม...

คัดลอกมาจาก :หนังสือกฎแห่งกรรมเล่มที่ ๑๘ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสามีที่อนุญาตให้นำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีคู่ครองติดสุราหรืออบายมุขอื่นๆที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ได้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบายได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นานก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกันคุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามีคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ


ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัดไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืนมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้นเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปีสามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัททำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบสามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย

ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉันดูแลแทนทั้งหมดตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเองเพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คนและลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่

เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกเมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืนจนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำบ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึกดิฉันจะเป็นห่วงและไม่เข้านอนจนกว่าเขาจะกลับมาโรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้นถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหายดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระจุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถาเพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง และไม่เข้าใจว่าสวดมนต์เพื่ออะไรขณะที่ดิฉันแทบจะหมดอาลัยตายอยาก

อาจจะเป็นเพราะได้ทำบุญกุศลร่วมกับพี่สาวของดิฉันอยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆ เขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมากจึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงานเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้นตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด)

การสวดมนต์และแผ่เมตตาที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำได้ยากมากเพราะการที่จะสำรวมกายสำรวมใจสวดมนต์ในตอนแรกๆ ต้องอดทนและฝืนใจตัวเองอย่างมากๆคนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวดิฉันเองมักจะพูดว่าไม่มีเวลาสวดมนต์ ทำงานเหนื่อยทั้งวันสวดมนต์ทีไรง่วงทุกที แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะเมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุดจากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุงมหากาบทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ) พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้งอานิสงฆ์จากการสวดมนต์ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับสามีลงมากแต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงฆ์จากการสวดมนต์ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับธรรมะจัดสรรให้

หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหุงสือเล่มหนึ่งชื่อ"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่านมีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทางธรรมะมากขึ้นความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าวทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมะจากหลวงพ่อโดยตรงทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ดิฉันจะนำคำสอนจากท่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเอง

ดิฉันเริ่มมองตัวเองและแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่องซึ่งแต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่าโดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์และจะโกรธเขาทุกข์ครั้งที่เห็นเขาดื่มเหล้า แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรมและฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่าคงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้

ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติและไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉันได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามีและอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน ไม่รื้อฟื้นสิ่งที่ไม่ดีในอดีต ปรับปรุงตัวเอง ลดทิฐิพูดจาดีๆ กับเขา ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เขาเลิกเหล้าหลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆ ลดการดื่มเหล้าลงจนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆและเป็นสามีที่ดีของดิฉัน

การปฏิบัติธรรมนอกจากทำให้ดิฉันมีชีวิตครอบครัวที่ดีขึ้นแล้วยังทำให้ดิฉันได้ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับผีเสื้อเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วดิฉันได้จับผีเสื้อมา ๔ ตัวและให้เพื่อนคนหนึ่งฉีดยากลางหลังทุกตัวเพื่อสต๊าฟไว้ส่งครูในวิชาชีวะแต่หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ฝันเห็นผีเสื้อยักษ์ตัวใหญ่บินเข้ามาหาดิฉันเพื่อจะมาทำร้ายจนดิฉันตกใจตื่น โดยไม่ทราบว่านี่คือความอาฆาตแค้นที่ผีเสื้อเหล่านั้นมีต่อดิฉันจนกลายเป็นกรรมที่ดิฉันต้องชดใช้นานถึง ๑๐ ปี กับอาการปวดหลังที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทุกครั้งที่ปวดหลังดิฉันจะเดินไม่ได้จะนั่งจะนอนก็ทรมานไปหมด กว่าจะดีขึ้นก็ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลา ๑ สัปดาห์จนกระทั่งได้มานั่งกรรมฐาน จึงระลึกได้ว่า ที่ปวดหลังมาเป็นเวลา ๑๐ปีนั้นเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ทำไว้กับผีเสื้อ

ดิฉันจึงขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้กับผีเสื้อเหล่านั้นหลังจากนั่งกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลาหลานเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ยอมอโหสิให้กับดิฉันเพราะอาการปวดหลังของดิฉันได้หายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นเป็นเวลา ๔ ปีแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการขออโหสิกรรมโดยการเจริญกรรมฐาน

ดิฉันขอสรุปว่า ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามีทางออกที่ดีได้ถ้าเรายอมลดทิฐิลง มองดูตัวเองก่อนเพื่อแก้ไขความบกพร่องให้อภัยและอโหสิกรรมผู้อื่น เรื่องในอดีตอย่าไปรื้อฟื้นขอให้ตั้งสติเพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันการที่จะทำเช่นนั้นได้ก็โดยการเจริญกรรมฐานเท่านั้น จากประสบการณ์ชีวิตของดิฉันเองการที่จะได้ของดีมักจะมีอุปสรรค ขอให้อดทน เริ่มจากสวดมนต์ อโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกวันแล้วธรรมะก็จะจัดสรรเป็นขั้นเป็นตอนให้ได้มีโอกาสเจริญกรรมฐานในที่สุดถึงแม้ต้องต่อสู้กับตัวเองและใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อทำให้เป็นกิจวัตรแต่พอทำได้แล้วจะรู้สึกไม่ยากเลย และจะพบแต่สิ่งดีๆ ที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ (ปัจจังตัง เวทิตัพโพ วิญญฺหิ)


http://www.jarun.org/

พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว


--------------------------------------------------------------------------------



พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว
โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร

http://www.dharma-gateway.com/ubasok/special-01.htm

คัดลอกจาก http://www.ybat.org/

ด้วยพระเมตตา แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อพสกนิกร ชาวไทยพระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้ มอบชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายใน หัวใจคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นแรง บันดาลใจจุดประกายพลังแผ่นดิน

หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาท แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยคำสอน ที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แต่ละข้อ แต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้น อย่างถ่อง แท้ แล้วว่าจะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา การดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ


ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจาก ความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะทำให้ต้อง เร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการ ฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกาย และในจิตอันพร้อมเป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้ กับคนทุกเพศทุกวัยและความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่า สมาธิ เองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้น โดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากหากผู้ใช้สมาธิรู้จักการ ปฏิบัติอันถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนแลถูกต้องทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยวัตร แห่ง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ "พระสมาธิ"

ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องประทับอยู่ เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร คงจะได้เห็นด้วยความพิศวงกันทุกคนว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อทรงนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบทนั้นตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่ง จบไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย

นอกจากนั้น ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างกระฉับกระเฉง ต่อเนื่อง ไม่มีพระอาการที่ แสดงว่าทรงเหนื่อย หรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวถึงประมาณ ๔ ชั่วโมง และมี บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯ รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคน ได้เห็นเหตุ การณ์เช่นว่านั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งใน ศาลาดุสิตาลัยอีก

ในการประกอบพระราชกรณียกิจอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยพระอาการที่ แสดงว่า เอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรี ( ที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อน พระราชหฤทัย) เป็นต้น ผมเคยเห็น พระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรี ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯ ไปห้องสรงในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน

ในการทรงเรือใบก็เช่นเดียวกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระ ทั่งจบ ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ อยู่ ด้วยความฉงนว่าเสด็จฯ กลับเข้าฝั่งเพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้าซึ่งในกติกาการแข่ง เรือใบถือว่า ฟาวล์ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น

แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัว เป็นงานอีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้อง ทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนกัน

พระราชกรณียกิจอื่นๆ ทั้งน้อยและใหญ่ ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือด้วยการเอาพระราชหฤทัย จดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จ และไม่ทรงทิ้งขว้างแบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้น จึงจะเห็นว่าพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น สำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่

ผมไปรู้เอาหลังจากที่เข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ได้ไม่นานว่าที่ ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจทุกชนิดได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ

ผมไม่ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หลังจากทรง ผนวชแล้ว ประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณเพศเป็น เวลา ๑๕ วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาจารย์ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (เมื่อครั้งยัง เป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ทราบกันดี ว่า แม้จะทรงมีเวลาน้อยแต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย

เมื่อผมเข้าไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ นั้น ปรากฏว่าการศึกษา และปฏิบัติสมาธิหรือกรรม ฐาน ในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ เป็นประจำ และข้าราชสำนักข้าราชบริพารหลายคน ทั้งฝ่าย พลเรือน และทหารก็กำลังเจริญรอยพระยุคลบาทอยู่ด้วยการ ฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น

ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัดสมาธิ แม้จะเคยศึกษามาก่อน โดย เฉพาะจากหนังสือของ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แต่ ระหว่างการตามเสด็จฯ โดยรถไฟ จากกรุงเทพมหานคร ไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ การเดินทางไกลกว่าที่ผมคาดคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟ ก็อ่านจบเล่ม เสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ ประจำที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายความ ปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ ผมจึงลองทำดูบ้างโดยใช้อานาปานสติ (คือกำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้า และหายใจออก) อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และ ท่านอาจารย์พุทธทาสแนะนำ ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด แลเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมายและเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและกลายเป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ปฏิบัติสมาธิเป็นประจำมาจนทุกวันนี้

เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกรุณาพระราชทาน หนังสือ และแถบบันทึกเสียงคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ลงมา และบางครั้งก็ทรงพระกรุณา พระราชทานพระราชดำรัส แนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่า พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว นั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่าแม้จะทรงใช้ อานาปานสติ เป็นอุบายในการทำ สมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงสามารถที่จะกำหนดพระอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) และพระปัสสาสะ (ลมหายใจออก) ได้แต่ลำพัง ต้องทรงนับกำกับ วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่งนับหนึ่ง หายใจเข้าครั้งที่สอง นับสอง หายใจเข้าครั้งที่สาม นับสาม หายใจเข้าครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจเข้าครั้งที่ห้า นับห้า หายใจออกครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง หายใจออกครั้งที่สอง นับสอง หายใจออกครั้งที่สาม นับสาม หายใจออกครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจออกครั้งที่ห้า นับห้า

เมื่อถึงห้าแล้ว หากจิตยังไม่สงบ ก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหา ห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้น จนกว่าจิตจะสงบ

รับสั่งว่า ที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับหนึ่งเข้าหนึ่งออกตลอดเวลา

พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิด้วยการรวบรวม และประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุก คน แล้วก็ทรงพระกรุรา พระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติ สมาธิอยู่

ครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ให้ผม รับสั่งว่าเป็นบันทึกเสียงการ แสดงธรรมเรื่อง ฉฉักกสูตร (คือพระสูตรว่าด้วยธรรมะ หมวด ๖ รวม ๖ ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัณหา พระสูตรนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน) และ ทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น

ผมรับพระราชทานแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไป ใส่เครื่องบันทึกเสียงและเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ ปิดแล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนัก ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯ แล้วหรือยัง เป็นอย่างไร

ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่าฟังได้ไม่ทันจบ ม้วนก็ได้หยุดฟังเสียงแล้ว ตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบ บังคมทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯ ท่านเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคๆ เป็นห้วงๆ เนื่องจากสมเด็จฯ พิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำและประโยคเทศน์ของท่านนั้น ถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง

พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯ เทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนใช้หรือไม่ว่า สมเด็จฯ ท่านจะพูดว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่ คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ก็ทรงแนะนำว่า ให้กลับไปฟังใหม่ คราวนี้อย่า คิดไปก่อนว่าสมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร สมเด็จฯ หยุดก็ให้หยุดด้วย ผมกลับมาทำตามพระราช กระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯ จากแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้ง แต่ต้น ฟังด้วยสมาธิ

สมเด็จฯ หยุดตรงไหน ผมก็หยุดตรงนั้น และ ไม่คิดๆ ไปก่อนว่า สมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร คราวนี้ ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส แถบบันทึกเสียงม้วนนั้น เป็นม้วนที่ดีที่ สุดม้วนหนึ่ง

ครั้งหนึ่ง หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูล ประสบการณ์ที่ได้ขณะทำสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้น รู้สึกว่าตัวเองลอย ขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง ทีแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไรแต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้า ทำท่า เหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกทำสมาธิ

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรจะ เลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้น

อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทำสมาธิแล้ว ผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อน ต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ครือตัวผม และที่ปลายท่อข้างล่างผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ แสดงว่าท่อยาวมาก กลัวจะหลุดออกจากท่อไป ผมก็เลยเลิกทำสมาธิรับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว (มีสติ) อยู่ ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากจะหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยัง อยู่ และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน

ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูปาอาจารย์ทุก ท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัส สอนให้ "ดำรงสติให้มั่น" ในเวลาทำสมาธิ

ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว เคยตรัสเล่า ให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังทรงทำสมาธิอยู่ พระจิต สงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระ เนตรเห็นพระกร (แขนท่อนล่าง) ลอกออกทีละชั้นๆ ตั้งแต่จากพระตจะ (หนัง) ลงไปจนถึงพระ อัฐิ (กระดูก)

พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างทั้งน้อยและ ใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนัก ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ทรง สะทกสะท้านหรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จ หรือความล้มเหลวอัน เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ทรงจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับ พระราช กรณียกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น

ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และใน ฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเรา และของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาทด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกัน อย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
__________________

นิพพาน ปรมัง สุขัง พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
คําสอนของพระราชพรหมยาน