วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คุยเรื่อง 'สตีฟ จ็อบส์' ฉบับธรรมกาย พระไพศาลชี้ เข้าข่าย อาบัติปาราชิก!



ติงไม่เหมาะสม ถามกลับบทความสตีฟ จ็อบส์ตายแล้วไปไหน เขียนเหมือนไปเจอมาเอง เข้าข่าย อวดอุตริ อาบัติปาราชิก ผิดหนัก....


หลังสถานีโทรทัศน์ DMC ของวัดพระธรรมกาย ได้เผยแพร่สารคดี ชื่อว่า “Where is Steve Jobs” เพื่อนำเสนอชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ และมีคนเอามาเผยแพร่โดยสรุปเนื้อหาของสารคดีดังกล่าวว่า ทางรายการได้อ้างว่า วิศวกรอาวุโสคนหนึ่งของแอปเปิลชื่อ โทนี ซวง ได้ขอให้ท่านพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ใช้ญาณตรวจสอบภพภูมิของสตีฟ จ็อบส์ หลังจากเสียชีวิต มีใจความสรุปว่า “สตีฟ จ็อบส์ ในขณะที่จะตายนั้น จิตใจมีแต่ความเป็นห่วงบริษัทแอปเปิลในอนาคต จึงทำให้ไปจุติเป็นภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์* มีผิวดำและเขี้ยวเป็นยักษ์ แต่ด้วยผลบุญที่ได้คิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่โลก จึงทำให้เขาได้พบมิตรที่ดีบนสวรรค์ และสตีฟ จ็อบส์ จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงธรรมกายต่อไป…” ทั้งหมดสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือเปล่า...?

ล่าสุด พระไพศาล วิสาโล ภิกษุแห่งสันติวิธีกล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ถึงสารคดีและบทความของวัดธรรมกาย เรื่องสตีฟ จ็อบส์ ทั้ง 3 ตอน โดยเฉพาะหัวข้อที่ว่าตายแล้วไปไหน...ว่า คำถามใหญ่หลังจากดูทั้งหมดก็คือ สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดรู้ได้อย่างไร ไปเจอสตีฟ จ็อบส์มาจริงหรือเปล่า และที่พูดเกี่ยวกับจ็อบส์มันถูกต้องจริงหรือ เขารู้จักสตีฟ จ็อปส์ดีจริงไหม แล้วคุณไปรู้ในภาวะจิตของเขาได้อย่างไร ปัญหาอยู่ตรงนี้



“เช่นตอนหนึ่งที่บทความนี้บอกว่า ณ ช่วงเวลาที่คุณสตีฟ จ็อบส์กำลังจะจากโลกนี้ไป ภาพของความวิตกกังวลและภาพของความทรงจำที่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความปลื้มใจ ความไม่ปลื้มใจ ก็ได้มาปรากฏฉายอยู่ภายในใจของเขา ซึ่งภาพต่างๆ เหล่านั้น ก็มีทั้งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง, ภาพที่ทำให้ใจของเขาผ่องใส และภาพที่ทำให้ใจของเขาไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใสสลับปะปนกันไป ซึ่งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง ก็คือ ภาพที่ตัวเขาเป็นคนขี้โมโห, หงุดหงิดง่าย  ชอบใช้อารมณ์รุนแรงและโหวกเหวกโวยวายกับลูกน้องที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ดั่งใจ หรือไม่ถูกใจตัวเขาอยู่เป็นประจำ...ซึ่งถ้าเราอ่านบทความนี้ให้ดีแล้วเขาพูดเหมือนกับว่าได้ไปเจอสตีฟ จ็อบส์มาแล้ว” 

พระไพศาลย้ำว่าการกล่าวอ้างว่าเห็นมาจริง เช่นนี้ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่าเข้าข่ายอุตริมนุสธรรม (การที่ภิกษุแสดงตนหรือพูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนได้ฌานได้สมาธิชั้นนั้นชั้นนี้ สามารถเข้าสมาบัติได้ หรือสำเร็จมรรคสำเร็จผลอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้เรียกผู้ที่ชอบอวดอ้างตนเหนือกว่าคนอื่นหรือทำอะไรที่แผลง ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกันว่า อวดอุตริ หรือ อุตริเป็นต้น) ถือว่าผิด แต่หากบอกว่านึกขึ้นมาเอง ก็ถือว่าเข้าข่าย อาบัติปาราชิก ซึ่งเป็นอาบัติหนัก ทำให้ขาดจากความเป็นพระเลยทีเดียว






“และที่ผู้เขียนและเผยแพร่บทความนี้ต้องออกมาตอบ โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ของบทความที่บอกว่า “...ในระหว่างที่ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมภุมมะเทวาแห่งนั้นก็ได้มีกระแสธารแห่งบุญจากที่แห่งหนึ่ง ไปเชื่อมจรดที่ศูนย์กลางกายของท่านเทพบุตรใหม่สตีฟ จ็อบส์  ซึ่งทันทีที่กระแสบุญดังกล่าวได้ไปจรดเชื่อมที่ศูนย์กลางกายของเขา ก็เป็นผลทำให้ใจของเขาบังเกิดความสว่างไสวขึ้นมาในทันที แล้วภาพของแหล่งกำเนิดแสงสว่าง ที่มาจากคนกลุ่มหนึ่งที่ได้สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวให้กับตัวเขาและก็นึกถึงเขาก็ได้ไปปรากฏฉายขึ้นภายในใจของเขา..” ก็ถือว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ  ก็ถือว่าผิดอย่างแน่นอนเพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยระบุอย่างชัดเจนแบบนั้น” 

สุดท้าย พระชื่อดังยังฝากเตือนไปยังประชาชนที่สับสนกับบทความนี้ที่เผยแพร่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสกับสิ่งนี้ว่าอจินไตย ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่อง “อจินไตย” เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ 

“เช่นเวลาคุณป่วยเป็นมะเร็ง มันมีปัจจัยมาก เช่น เป็นเพราะกรรมพันธุ์ การกินอาหารไม่ถูกต้อง หรือเพราะวิบากกรรมในอดีต ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยมันซับซ้อน ไม่สามารถตอบได้ด้วยการคิด กรณีเรื่องสตีฟ จ็อบส์ตายแล้วไปไหน....มันก็เป็นเรื่องของกรรมวิบาก เป็นอจินไตย รู้แม้กระทั่งเขาคิดอะไรอยู่ก่อนตาย ซึ่งก็เข้าข่ายอุตริมนุสธรรม” พระชื่อดังกล่าวสรุป.

ชมคลิป “Where is Steve Jobs” ของวัดธรรมกาย








ขอบคุณ ที่มา 
โดย: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
21 สิงหาคม 2555, 16:52 น.

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

" รู้แล้วมันปวดใจ " ปรึกษาปัญหากับ พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

 

" รู้แล้วมันปวดใจ "


ปุจฉา - กราบนมัสการค่ะ ดิฉันขอเรียนถาม พระไพศาล ดิฉันอิจฉาคน ๆ หนึ่งและทุกคนที่เคยคบ พูดคุยกับแฟนของดิฉันค่ะ ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนดิฉันปล่อยวางแล้ว แต่ดิฉันได้มารู้เรื่องใหม่ ที่ปิดมายาวนานถึงสองปีค่ะ แฟนดิฉันเคยบอกดิฉันว่าหากผู้หญิงคนนี้ แฟนเก่าเขาไม่กลับมา เขาจะมามาคบกับดิฉัน
เมื่อเวลาผ่านมาสองปี ดิฉันจึงมารู้ว่าคนๆ นั้นคือเพื่อนของดิฉันเองค่ะ เป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกัน เจอหน้ากันทุกวัน ซึ่งตัวเค้าก็รู้แต่ไม่ยอมบอกดิฉัน ต่างคนต่างไม่บอกจนล่วงเลยมา ดิฉันได้คบกับแฟนแล้ว ทุกวันนี้จากที่ดิฉันไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเพื่อนคนนี้มากนัก ดิฉันมักจะไปเปิดดูเฟชบุ๊คของเพื่อนคนนี้ ดูแล้วคิดไปเรื่อยคิดอิจฉาเค้า คิดน้อยใจตัวเอง หลายๆ ครั้ง ว่าเราคงไม่ดีพอ แฟนเราถึงไม่อยากคบกับเราในตอนแรก แต่อยากคบกับเพื่อนเรา
ซึ่งดิฉันได้คุยกับเพื่อนคนนี้ เค้าบอกว่าในช่วงที่แฟนดิฉันไปหาเค้า คือตอนนั้นเรายังไม่คบกันเป็นแฟนค่ะ แต่ดิฉันรักเค้า แฟนบอกกับเพื่อนว่าเค้าอยู่กับเพื่อนดิฉันแล้วสบายใจกว่า ไม่ชอบดิฉัน ดิฉันได้ฟังยิ่งเสียใจ ปวดใจมากค่ะ ถึงขั้นโมโห ปาข้าวของ เพราะถ้าเพื่อนบอกดิฉัน ดิฉันคงไม่ต้องดันทุรังมาเรียนใกล้เค้า มาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ ที่ตอนแรกเค้าไม่รักดิฉันเลย ทำเหมือนดิฉันเป็น ของทิ้งขว้าง เป็นกรรมอะไรกันที่ดิฉันต้องมาชดใช้แทนที่จะเป็นเพื่อนคนนั้น ดิฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอด้วยตัวเองค่ะ
ในตอนนี้ เวลาดูรูปเพื่อนที่ไร ดิฉันจะรู้สึกอิจฉาลึกๆ คิดเองเออเอง ว่าตัวเองไม่ดีเค้าดูดี ทุกอย่างเค้ามีพร้อมทุกอย่าง เค้าสวย เค้าเป็นผู้ใหญ่ดี ดิฉันก็อยากเป็นเหมือนเค้า อยากมีดีเหมือนเค้าบ้าง เวลาที่ดิฉันเอารูปดิฉันกับแฟนลงเฟชบุ๊ค ดิฉันจะมีความรู้สึกลึกๆ ว่า อยากให้เพื่อนคนนี้เห็น อยากอวด แต่ทุกครั้งที่ดิฉันมีอาการแบบนี้ ดิฉันก็พยายามดูใจตัวเองค่ะ พยายามดูเวลาใจมันอิจฉา แต่ไม่รู้ดิฉันทำถูกต้องไหม ดูแล้วดูอีก มันก็หายไป หลายวันผ่านไปมันก็กลับมา ดิฉันก็ดูอีก ดิฉันไม่อยากเก็บกด ดิฉันควรทำอย่างไร ดิฉันบอกใจเสมอเวลามีอาการแบบนี้ ว่าอโหสิหนอ บ้างก็คิดในแง่ดี แต่มันเหมือนหลอกใจตัวเองมากกว่าว่าเพื่อนเค้าก็ดีกับเราน่ะ เพื่อนเค้าเสียสละให้กับเรา แต่สิ่งที่ผูกใจคือ แล้วทำไมไม่ยอมบอกความจริงกับเรา ไม่งั้นเราคงมาทุกข์ทรมานแบบนี้ ดิฉันควรจะทำยังไง ค่ะ ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ
อีกเรื่องหนึ่งที่จะเรียนถาม เกี่ยวกับกราฟชีวิต ดิฉันได้ลองกราฟตัวเอง พบว่า ทัรพมี เพียง 1 ตกภูมินรก เพื่อนมีเพียง 4 คือน้อยมาก และหลายๆอย่าง เรื่องแบบนี้เราเปลี่ยนได้มั้ยค่ะ

 


พระไพศาล วิสาโล - อาตมาคิดว่า ในความสัมพันธ์กับใครก็ตามโดยเฉพาะคนรัก คุณควรให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากกว่าอดีต ในอดีตเขาจะเคยรักใครก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าตอนนี้เขารักคุณหรือเปล่า ถึงแม้สองปีก่อนเขาจะไม่ได้สนใจคุณมากนัก แต่วันนี้คุณเป็นคนสำคัญสำหรับเขาหรือไม่ ถ้าตอบว่าใช่ คุณก็น่าจะพอใจแล้ว ถ้าจะสาวหาอดีต เราจะต้องพบกับสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นหรือสิ่งที่ไม่ถูกใจเกี่ยวกับตัวเขา แต่จะมีประโยชน์อะไรหากว่าทุกวันนี้เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว
สาเหตุสำคัญที่คุณมีความทุกข์มาก ก็เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งเกิดจากการเปรียบเทียบกับเพื่อนของคุณ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งทุกข์ หลายคนหน้าตาดี สะสวยแต่ก็เป็นทุกข์ ก็เพราะชอบเปรียบตัวเองกับคนอื่นที่สวยกว่า หลายคนมีแฟนที่ดีแต่ก็เป็นทุกข์ เพราะมองว่าแฟนคนอื่นนั้นดีกว่าแฟนตน หลายคนได้โบนัสนับแสนแต่ก็เป็นทุกข์ เมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมงานได้โบนัสมากกว่าตน เวลาคุณซื้อได้ของดีราคาถูก แทนที่คุณจะดีใจ กลับเสียใจเมื่อพบว่าเพื่อนซื้อของอย่างเดียวกันนั้นได้ถูกกว่าคุณ เห็นไหมว่าไม่ว่าจะได้หรือมีของดีเพียงใด เราก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง สาเหตุก็เพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คุณควรหันมามองตัวเองในมุมใหม่แล้วสำรวจว่าคุณเองมีสิ่งดี ๆ ที่ควรแก่ความภาคภูมิใจอย่างไรบ้าง อย่ามัวแต่มองตนเองแบบติดลบ
คุณเสียใจที่เพื่อนของคุณไม่บอกความจริงแก่คุณ แต่ลองมองในอีกแง่หนึ่งว่า สาเหตุที่เธอไม่บอกคุณอาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้คุณเสียใจ หรือเธออาจไม่รู้ว่าเขาคนนั้นหันมาเป็นแฟนกับคุณ ความเป็นจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้
อย่างไรก็ตาม อาตมาคิดว่าคุณทำถูกแล้ว ที่พยายามดูใจของตน โดยเฉพาะเวลามีความอิจฉาหรือเป็นทุกข์ เมื่อความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้น อย่ากดข่มมัน และก็อย่าทำตามมัน แต่ให้ดูหรือรู้เฉย ๆ ว่ามันเกิดขึ้นในใจ ถ้ารู้เฉย ๆ มันก็จะหายไปเอง แต่ที่มันกลับมาอีก ก็เพราะคุณยังชอบเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนของคุณ หรือยังคิดปรุงแต่งไม่เลิก ถ้าหยุดปรุงแต่งเมื่อไหร่ความอิจฉาหรือความเร่าร้อนใจก็จะหายไปเอง

 

 

เครดิต พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo