วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขอเงินจากพระจันทร์

ฤกษ์ดี, วันดี, วันอมาวสี, วันนิวมูน

รอปีหน้ามีตั้ง 25 ฤกษ์


เมื่อต้นปี 2552 ทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคย นำเสนอเรื่องราว “ความเชื่อเกี่ยวกับดวงจันทร์” ใน อีกแง่มุม ไว้ว่า... ความเชื่อเกี่ยวกับดวงจันทร์-ดาวจันทร์ ในทางที่ดีนั้น ก็เช่นการ “อาบน้ำเพ็ญ” อาบน้ำกลางแสงจันทร์ ในคืนเดือนเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 คืนลอยกระทง ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำจะเป็นสื่อกลางดูดพลังจากดวงจันทร์ เพื่อชำระบาป ขจัดสิ่งชั่วร้ายให้หายไปจากจิตใจ-ร่างกาย เป็นการสร้างสิริมงคลให้ชีวิต
และอีกความเชื่อก็คือ...การ “ขอพรจากฟ้าวันจันทร์ดับ” ซึ่งไม่ได้หมายถึงวันเกิดจันทรคราสหรือสุริยคราส แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นปีละหลายครั้ง โดย “วันจันทร์ดับ” ในที่นี้ ในภาษานักโหราศาสตร์โบราณเรียกว่า “วันอมาวสี” ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “วันนิวมูน” ในวันนี้จะเป็นวันที่ตำแหน่งองศาของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ทับกันสนิท และเชื่อกันว่าวันนี้เหมาะแก่การ “ขอพรจากฟ้า-ขอพรจากพระจันทร์” ทั้งนี้ ในอดีต-คนโบราณนิยมขอพรเรื่องเงิน บางคนจึงเรียกว่า “วันขอเงินพระจันทร์” โดยปี 2552 นี้มี 12 ครั้ง
วันนิวมูนครั้งสุดท้ายของปีนี้คือ 16 ธ.ค. เวลา 19:01 น. ส่วนปีหน้า ปี 2553 โหรดังบางคนเผยว่ามีตั้ง 25 ครั้ง !!
“วันนิวมูน-วันขอเงินพระจันทร์” ในปี 2553 นั้น อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่า... จะมีทั้งหมด 25 ครั้ง ดังต่อไปนี้คือ... ครั้งที่ 1 วันที่ 1 ม.ค. (คืน 31 ธ.ค.) เวลา 02.14 น., ครั้งที่ 2 วันที่ 15 ม.ค. เวลา 14.12 น., ครั้งที่ 3 วันที่ 30 ม.ค. เวลา 13.19 น., ครั้งที่ 4 วันที่ 14 ก.พ. เวลา 09.52 น., ครั้งที่ 5 วันที่ 28 ก.พ. เวลา 23.39 น., ครั้งที่ 6 วันที่ 16 มี.ค. เวลา เช้ามืด 04.02 น., ครั้ง ที่ 7 วันที่ 30 มี.ค. เวลา 09.27 น., ครั้งที่ 8 วันที่ 14 เม.ย. เวลา 19.31 น.
ครั้งที่ 9 วันที่ 28 เม.ย. เวลา 19.20 น., ครั้งที่ 10 วันที่ 14 พ.ค. เวลา 08.05 น., ครั้งที่ 11 วันที่ 28 พ.ค. เวลา 06.09 น., ครั้งที่ 12 วันที่ 12 มิ.ย. เวลา 18.15 น., ครั้งที่ 13 วันที่ 26 มิ.ย. เวลา 18.32 น., ครั้งที่ 14 วันที่ 12 ก.ค. (คืน 11 ก.ค.) เวลา 02.42 น., ครั้งที่ 15 วันที่ 26 ก.ค. เวลา 08.37 น., ครั้งที่ 16 วันที่ 10 ส.ค. เวลา 10.10 น., ครั้งที่ 17 วันที่ 25 ส.ค. (คืน 24 ส.ค.) เวลา 00.05 น., ครั้งที่ 18 วันที่ 8 ก.ย. เวลา 17.31 น., ครั้งที่ 19 วันที่ 23 ก.ย. เวลา 16.19 น.
ครั้งที่ 20 วันที่ 8 ต.ค. (คืน 7 ต.ค.) เวลา 01.45 น., ครั้งที่ 21 วันที่ 23 ต.ค. เวลา 08.38 น., ครั้งที่ 22 วันที่ 6 พ.ย. เวลา 11.52 น., ครั้งที่ 23 วันที่ 22 พ.ย. (คืน 21 พ.ย.) เวลา 00.29 น., ครั้งที่ 24 วันที่ 6 ธ.ค. (คืน 5 ธ.ค.) เวลา 00.37 น. และครั้งที่ 25 ของปี 2553 วันที่ 21 ธ.ค. เวลา 15.14 น.
ทั้งนี้ เรื่องของ “วันนิวมูน-วันขอเงินพระจันทร์” นี้ ในประเทศไทย อ.จรัล พิกุล ผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ยูเรเนียนโบราณ ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว เป็นผู้ให้ความรู้ไว้ พร้อมทั้งมีคำแนะนำไว้ ประมาณว่า... สามารถขอได้ในช่วงก่อนและหลังเวลาเกิดนิวมูนหรืออมาวสี 8 ชั่วโมง วิธีการก็เช่น... เขียนขอสิ่งที่ปรารถนาที่สอดคล้องความเป็นจริง ไม่เกิน 8 ข้อ ไว้บนมือข้างไหนก็ได้ ให้เชื่อมั่นศรัทธา ทำจิตให้นิ่ง มีสมาธิ ต้องขอเพื่อตัวเองเท่านั้น ขอแทนคนอื่นไม่ได้ ห้ามให้ใครรู้ว่าขออะไร และควรขอในเวลาที่สงบ
อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ เสริมถึงเรื่องวันนิวมูน วันจันทร์ดับ หรือการเกิด “จุดจันทร์เพ็ญ” ว่า... วัน-เวลาดังกล่าวนี้เปรียบเป็นวันที่ “ประตูฟ้าเปิด” อิทธิพลทั้งหลายของดวงดาวจะถูกถ่ายทอดลงมาสู่โลกมนุษย์ และมีฤทธิ์นานประมาณ 1 เดือน ซึ่งถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับใครในวันจันทร์ดับหรือวันอมาวสีเป็นเช่นไร เหตุการณ์ในเดือนนั้นทั้งเดือนก็จะเป็นเช่นนั้น ดังนั้น วันอมาวสีจึงถือเป็นวัน “เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดี” หากเริ่มต้นดี คิดทำอะไรดี ๆ ก็จะดีไปตลอดทั้งเดือน ซึ่งถ้าคิดดีและทำในสิ่งที่ดี ๆ ได้ทุกช่วงวันอมาวสี ก็จะยิ่งเป็นเรื่องดี
เรื่องนี้เหมือนเป็นการให้กำลังใจคน...ให้คิดดี-ทำดี
เมื่อคนเราคิดดี-ทำดี...ก็ย่อมจะได้ดีและมีความสุข

“วันขอเงินพระจันทร์นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทำใจให้สบาย ไม่ควรทะเลาะเบาะแว้งกับใครจนอารมณ์ขุ่นมัว พยายามทำให้เป็นวันที่สงบ ราบเรียบ ควรไปปฏิบัติธรรม รับศีล อยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ สมณะชีพราหมณ์ แบบนี้จะเป็นมงคลกับชีวิตอย่างมาก และในวันจันทร์ดับนั้นห้ามอย่างยิ่งที่จะให้ใครหยิบยืมสตางค์ อย่าให้ใครมาทวงหนี้ หรือพยายามอย่าให้เหตุการณ์ที่ไม่ดีทั้งหลายเกิดขึ้น เพราะจะดำรงคงอยู่ไป 1 เดือนเต็ม”
...อ.ภิญโญระบุ พร้อมทั้งบอกว่า... อ.จรัล พิกุล โหราจารย์ เคยแนะนำเกี่ยวกับวันดังกล่าวนี้ไว้ด้วยว่า... ควรทำใจให้สงบ ไปทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน หรือกราบขอพรพ่อแม่ซึ่งคือพระอรหันต์ของลูก วันนี้ควรแก่การให้ทาน บริจาคแก่คนยากไร้ โดยมีเคล็ดว่า “ถ้าท่านต้องการเรื่องใด ก็ให้บริจาคทำบุญแก่คนที่ขาดในเรื่องนั้น” เช่น อยากได้ความรักก็ทำบุญกับเด็กกำพร้า อยากได้ที่พึ่งพาก็ทำบุญกับผู้สูงอายุ-คนป่วย เป็นต้น
ใครสนใจก็เตรียมตัว...ปีนี้ใกล้มี “วันนิวมูน” อีก 1 วัน
และในปีหน้าก็มี “ฤกษ์ทำสิ่งที่ดีเพื่อชีวิตที่ดี” เพียบ !!.

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เชื่อหรือไม่..สวดมนต์เพียงไม่กี่นาที เราบำเพ็ญบารมีครบทั้ง 10 ทัศ

สาวกภูมิมีบารมี 10 ทัศ ส่วนบารมี 30 ทัศ มีในพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์


ขณะที่เราสวดมนต์เราสละเวลาทำความดี นอบน้อมถึงพระรัตนตรัยใจมีอภัยทานไม่ถือโกรธนับเป็นทานทางใจ ถือเป็น ทานบารมี


ขณะที่เราสวดมนต์ เราปราศจากความเบียดเบียนทั้งตนเองและสรรพสัตว์ไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีหรือทำบาปกับใคร ถือเป็น ศีลบารมี


ขณะที่เราสวดมนต์ จิตปราศจากกำหนัดราคะ วางภาระห่วงกังวลในทรัพย์และญาติตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ ถือเป็น เนกขัมมะบารมี


ขณะที่เราสวดมนต์ เราทำด้วยความเห็นให้ตรง จึงเกิดสติและมีสมาธิ มีธรรมเกิดขึ้นคือปัญญาเห็นมรรคผลถือเป็น ปัญญาบารมี


ขณะที่เราสวดมนต์ เรามีมานะบากบั่นด้วยกาย วาจาและใจ นอบน้อมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคุณพระรัตนตรัยถือเป็น วิริยะบารมี


ขณะที่เราสวดมนต์ เรามีขันติ อดกลั้น เรามีความอดทนสวดสาธยายมนต์ไม่ถอดใจไม่ละวางเสียกลางคัน ถือเป็น ขันติบารมี


ขณะที่เราสวดมนต์ เราเปล่งเสียงบทสวดสาธยายมนต์รักษาพุทธวัจนะตามความเป็นจริงด้วยจิตซื่อตรง ถือเป็น สัจจะบารมี


เมื่อสวดมนต์เสร็จ กรวดน้ำ ตั้งความปรารถนาโดยชอบตั้งจิตอธิฐานปรารถนาสุขมีคติถึงพระนิพพาน ถือเป็น อธิษฐานบารมี


เมื่อสวดมนต์เสร็จ กรวดน้ำ หรือ แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล การมอบความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ ถือเป็น เมตตาบารมี


เมื่อสวดมนต์เราวางเฉยต่ออุตุ เย็น ร้อน ทุกข์ทางสังขารนา ๆ ทั้งวางเฉยต่ออกุศล ทำจิตให้ตรงโดยธรรมถือเป็น อุเบกขาบารมี


พระศุภกิจ ปภัสฺสโร ชำระเรียบเรียง.
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีดูว่าฝันจริงหรือฝันหลอก

ถาม : เคยมีปรากฎการณ์ของความฝัน จะได้เห็นเหตุการณ์จริงล่วงหน้าก่อน เป็นระยะๆ ความฝันในลักษณะนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไรคะ ?
ตอบ: เกิดขึ้นจาก ที่เราเคยได้ทิพยจักษุญาณมาในชาติก่อน เมื่อถึงวาระถึงเวลา สภาพจิตที่มันพักผ่อน พอดีพอเหมาะพอควรของมันแล้ว มันก็จะสามารถที่จะรับภาพต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม ภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากทิพยจักษุญาณ มันอ่อนหน่อย มันจะอยู่สภาพเหมือนกับฝันเห็น โบราณเรียกว่านิมิต ฉะนั้นคนที่ฝันในลักษณะนี้ อย่างน้อยอดีตต้องเคยทำทิพยจักษุญาณ มาคล่องตัวทีเดียวแหละ


ถาม : แล้วมีการฝันต่อ ?
ตอบ: มีจ้ะ อาตมาก็เคยฝันต่อ แล้วเป็นฝันที่จี้มากด้วย ตอนนั้นห้างไดมารูราชประสงค์ยังมีอยู่ ฝันว่าไปเจอสาวคนหนึ่งตรงนั้น แล้วคุยกันถูกคอมากเลย เพราะว่าคุยกันเรื่องปฏิบัติเหมือนกัน
แล้วหลังจากนั้น อีกตั้งหลายเดือน ไปเจอเขาใหม่ มันก็เหมือนกับว่า เราเพิ่งไปเจอเขา แต่จำเรื่องเก่าได้ มีการท้าวความหลังกัน แล้วคุยต่ออีกต่างหาก ลักษณะนี้นิมิตแน่ๆ เลยไม่ใช่ฝัน


ถาม : แล้วความฝันที่เราจะรู้ว่า อันนี้เป็นความฝันที่แท้จริง กับเป็นความฝันที่หลอก
ตอบ: หลอกและแท้จริงนี่ไม่ได้คือว่าฝันมี ๔ อย่าง คือ ธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ นะจ๊ะ ธาตุวิปริตนี่ประเภท กินมาก ท้องไส้ไม่ดี ก็เลยฝันมั่วไปด้วย กรรมนิมิต กรรมดีกรรมชั่ว ที่เราทำมาแสดงให้รู้ จิตนิวรณ์ เก็บความฟุ้งซ่านตอนกลางวัน ไปฝันตอนกลางคืน เทพสังหรณ์ เทวดาท่านสงเคราะห์ให้
แล้วคราวนี้ฝันจริงๆ ของเราที่ว่า ส่วนใหญ่จะเป็นกรรมนิมิต หรือเทพสังหรณ์ ดังนั้น ฝันจริงหรือฝันหลอก ให้สังเกตให้ได้ว่า ถ้าหากว่าหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นพวกกรรมนิมิต หรือเทพสังหรณ์ เพราะจิตของเราที่ฟุ้งซ่านมาทั้งวัน ผ่านการพักผ่อนมาครึ่งค่อนคืน มันเกิดความสงบขึ้น เหมือนกับน้ำขุ่น พอมันนิ่งพอที่จะใสขึ้น จนกระทั่งมองเห็นเงาได้ มันก็เริ่มสะท้อนภาพให้เห็น ดังนั้น ถ้าหากว่าฝันหลังเที่ยงคืนไปแล้ว หรือหลังตีสองไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นตามนั้นจ้ะ


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ

ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ

พุทธศาสนาพระพุทธเจ้าได้หาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยมานานกว่า 2500 ปีแล้ว คือการสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ การเจริญสติในพระพุทธศาสนาก็เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดพุทธะภายในใจ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้อง การพิจารณาอาหารเป็นการเจริญสติรับรู้กับอิริยาบถในขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารเพียงเพื่อให้มีพลังงานสำหรับปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการรับประทานอาหารหนักมื้อเพล(มื้อเที่ยง) รับประทานน้อยในมื้อเย็น ช่วยให้ไม่มีพลังงานเหลือขณะพักผ่อนในเวลากลางคืน ในขณะขบเคี้ยวก็ต้องกำหนดรู้ชนิดอาหารจึงรับประทานช้าลง ช่วยให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงเร็ว การหลั่งอินซูลินจะช้าทำให้ไม่หิวบ่อย การมีสติจะทำให้เกิดความยับยั้งที่จะรับประทานตามความอยาก เกิดปัญญาหยั่งทราบว่าถ้าทำตามความอยากก็จะเกิดปัญหาสุขภาพคือแก่เร็ว เจ็บป่วยตามมา

บทสวดพิจารณาอาหาร (แปล)

ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาทัง ปะฏิเสวามิ เรายอมพิจารณาโดยแยบคาย แล้วฉันบิณฑบาต

เนวะ ทวายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน

นะ มะทายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังทางกาย

นะ มัณฑะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ

นะ วิภูสะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา แต่ให้เป็นเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้

ยาปะนายะ เพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพ

วิหิงสุปะระติยา เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย

พรัหมะจะริยานุคคะหายะ เพื่ออนุเคราะห์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปุรานัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่า คือความหิว

นะวัญจะเวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ และไม่ทำทุกเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น

ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วยความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วยจักมีแก่เรา ดังนี้

โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้

  • ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง
  • แต่รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว และไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา

    จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทานอาหารจะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ

  • ที่มา … รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน แพทย์ผิวหนัง  จากนิตยสาร Health Today

    วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

    อานิสงส์ การทำบุญ ด้วยวัสดุก่อสร้าง ชนิดต่างๆ

    หลายๆท่าน คงเคยร่วมทำบุญ เมื่อวัดมีการก่อสร้าง ท่านทราบหรือเปล่าว่า วัสดุแต่ละชนิด ให้อานิสงส์ ในด้านใดบ้าง ลองมาดูกันค่ะ


    1. เสาปูน จะได้อานิสงส์ ให้ฐานะการเงิน การงานท่านทรงตัว ท่านที่แบกภาระหนี้สินมากๆ ให้เอาบุญแบกน้ำหนักของเสาปูนมาช่วยค้ำประกันให้ จะเบาลง


    2.กระเบื้อง และโครงหลังคาได้อานิสงส์ ความร่มเย็น ครอบครัวไหน ทะเลาะกันบ่อยๆ หรือมีแต่เรื่องเดือดร้อนบ่อยๆ ให้ทำบุญนี้
    หรือท่านที่มีแต่คนนำความเดือดร้อนมาให้ตลอด



    3. ปูน ช่วยแก้ไขกรรม เกี่ยวกับโรคกระดูก และปัญหาสุขภาพ ท่านไหนเป็นโรคกระดูกพรุน ให้ร่วมสร้าง


    4. หิน อานิสงส์ โชคลาภ ก้อนโต และการเงินการงาน ที่ทรงตัว


    5.ทราย สำหรับคนที่ติดหนี้มากๆ ให้ร่วมสร้าง จะไปแก้กรรมเวรเกี่ยวกับการติดหนี้เขาจะได้เบาลงไว หนี้มากๆ ใช้กรรมได้ไว


    6.ค่าแรง ได้อานิสงส์ ทำอะไร เราก็จะเบาแรงลง ลงทุนน้อยได้กำไรมาก ได้คนงานที่ดี งานการค้าขายคล่องตัวไว ได้บริวารที่ดี


    7.กระเบื้องปูพื้น ได้อานิสงส์ การเงินการงานทรงตัว เพราะได้รองนั่ง รองให้คนเหยียบ รองให้คนได้นั่งสมาธิ การเงินจะไม่ตกต่ำ


    8.บันได ได้อานิสงส์ สำหรับท่าน ที่ตกงานมานานๆ งานไม่ได้สักที เป็นบันไดขึ้นสู่โชคลาภ


    9.ถนน ได้อานิสงส์ ไปไหน ไม่ลำบาก ไม่ขัดสน ไม่จนหนทาง มีทางออก สำหรับปัญหาชีวิต ท่านที่ติดขัดมากๆ ลองทำดู


    10. ท่านที่สร้างหน้าต่าง ได้อานิสงส์ ช่วยเรื่อง ทางออกในปัญหาชีวิต การเห็นทางออกของชีวิต การปิดกั้นสิ่งชั่วร้าย
    และช่วยระบายความทุกข์ออกจากชีวิต


    11. ประตู ได้อานิสงส์ มีโอกาส ดีๆ สู่ชีวิต ทุกครั้งที่มีคนผ่านประตู เข้าไปไหว้พระ หรือไปปฏิบัติธรรม เราจะได้อานิสงส์ ทั้งทางโลกและทางธรรม


    12.อิฐแดง ได้อานิสงส์ เสน่ห์แก่ผู้พบเห็น ช่วยเรื่องความรัก เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยประสานกันไว้ของอาคาร ช่วยกรรมเรื่องความรัก ใครที่ไม่มีคนรักจริงใจ อกหักรักคุด ให้ทำบุญนี้

    ที่มา : ผลบุญ ดอทคอม

    วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

    คู่เวร

    พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านคยา ได้ให้ธิดาแก่บุตรพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น ธิดาพราหมณ์เป็นลูกสะใภ้แล้วได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ในบ้าน นางเห็นลูกสาวของทาสีในบ้านนั้นแล้วไม่ชอบหน้า นับแต่เห็นมานางก็แสดงอาการฮึดฮัดด่าว่าด้วยความโกรธ และชูกำปั้นแก่ลูกสาวทาสีนั้น เมื่อลูกสาวทาสีโตพอที่จะทำการงานได้ นางก็ใช้เข่า ศอก และกำปั้นทุบตีเหมือนผูกอาฆาตกันมาในชาติก่อนๆหลายชาติทีเดียว

         เล่ากันมาว่า ในครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสะปะ ทาสีนั้นได้เป็นนายและได้ทุบตีลูกสะใภ้ด้วยก้อนดินและชูกำปั้นให้เสมอๆ ลูกสะใภ้เหนื่อยหน่ายเพราะการกระทำนั้น ได้ทำบุญให้ทานตั้งความปราถนาขอให้ได้เป็นนายบ้าง ในชาติปัจจุบันคนทั้งสองจึงมีสถานะกลับกัน

         วันหนึ่งโดยไม่มีเหตุสมควรเลย ลูกสะใภ้ได้จิกผมใช้ทั้งมือทั้งเท้าตบตีอย่างเต็มที่ ทาสีนั้นไปศาลาอาบน้ำ โกนผมเสียเกลี้ยง ลูกสะใภ้จึงกล่าวว่า อีทาสีชั่ว เพียงโกนผมเกลี้ยงก็จะพ้นหรือ แล้วเอาเชือกพันศรีษะ จับนางให้ก้มลงแล้วเฆี่ยน และไม่ให้นางเอาเชือกออก แต่นั้นมานางทาสีจึงได้ชื่อว่า รัชชุมาลา (รัชชุ แปลว่า เชือก มาลา แปลว่า หมวก)

         วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก นางรัชชุมาลาได้ปรากฏในข่ายพระญาณจึงเสด็จเข้าไปในป่า ประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ฝ่ายนางรัชชุมาลาถูกรังแกทุกวันจึงเบื่อหน่ายต่อชีวิต ประสงค์จะฆ่าตัวตาย ถือหม้อน้ำออกจากเรือนทำทีว่าจะไปตักน้ำ แล้ววางหม้อน้ำไว้ข้างทางเข้าไปยังป่าชัฏ ผูกเชือกที่กิ่งของต้นไม้ซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ เพื่อทำเป็นบ่วงผูกคอตาย มองไปรอบทิศเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ดูน่าพอใจและน่าเลื่อมใส เกิดความคิดว่า ทำไฉนพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโปรดคนเช่นเราให้พ้นความลำเค็ญ

         เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียก นางรัชชุมาลาก็เข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วฟังธรรมได้บรรลุโสดาบัน จากนั้นนางก็นำหม้อไปตักน้ำแล้วกลับเรือนไป คนในเรือนรู้เรื่องของนางรัชชุมาลา จึงนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันที่เรือน เมื่อฟังธรรมแล้วก็ดำรงอยู่ในสรณะและศีล การจองเวรของทั้งสองนางก็สิ้นสุดลง เมื่อนางรัชชุมาลาตายก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

    คู่รัก vs คู่บารมี

    นางแก้วคู่บารมี


    เรียบเรียง โดย อังคาร
    พระนางพิมพาและพระโพธิสัตว์นั้น ทรงเกิดมาเป็นคู่รักและเป็นคู่ครองกันมานับอเนกอนันต์ชาติ ผ่านความสุขและทุกข์ภัยของสังสารวัฏฏ์มาด้วยกันมากมายนับชาติไม่ถ้วน มีพบมีพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา แต่เมื่อใดที่ได้เกิดมาร่วมกันก็ส่งเสริมกันในการสร้างสมบุญบารมีโดยไม่ย่อท้อด้วยจิตที่เสมอกัน มีความผูกพัน ไม่โกรธไม่เคือง ไม่มีแม้เพียงสายตาที่ทอดดูกันด้วยความไม่พอใจ ทั้งสองได้เป็นคู่ครองกันมาจนถึงชาติอันเป็นที่สุด ซึ่งพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและพระนางพิมพาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นับว่าทั้งสองพระองค์เป็นคู่บารมีกันอย่างแท้จริง


    เหตุชักนำให้หญิงชายมีใจรักกัน..
    ก่อนที่หญิงชายจะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ร่วมกัน เป็นคู่บุญบารมีกันได้นั้น ต้องผ่านความรู้สึกและความผูกพันด้วยความรักกันมาก่อน แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเล่า ..
    บางคนบางคู่ เห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียวก็หลงรักกัน
    บางคนบางคู่ รู้จักศึกษานิสัยใจคอกันพอสมควร จึงเกิดความรัก
    บางคนบางคู่ ได้เกื้อหนุนจุนเจือกัน นานไปก็เกิดเป็นความรัก
    บางคนบางคู่ สนิทสนมกลมเกลียวเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็กแต่น้อย แล้วจึงค่อยแปรเปลี่ยน เป็นความรักเมื่อโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
    บางคนบางคู่ ได้สมหวังในความรัก ขณะที่บางคู่กลับต้องเลิกรา
    บางคนได้แต่หลงรักเขาข้างเดียว แต่เขาไม่เคยมีใจรักตอบ
    บางคน เขามาชอบ พยายามทอดสะพานให้เรา แต่กลับไม่สนใจ..
    ขณะที่บางคน ทั้งชีวิตกลับเงียบเหงา ไม่เคยมีลมรักพัดผ่านมาให้ชื่นใจเลย แม้แต่เพียงครั้งเดียว
    ดูแล้วความรักของหญิงชายนี้ช่างวุ่นวายนัก จนน่าสงสัยว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้หญิงชายมารักกัน
    หรือมีเหตุอะไรที่ทำให้หญิงชายนั้นไม่รักกัน


    มีผู้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าเรื่องความรักของหญิงชาย ปรากฎในสาเกตชาดกที่ ๗ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ว่า


    "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ พอเห็นกันเข้าก็เฉยๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส"
    พระพุทธองค์จึงทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ ดังนี้
    "ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูล
    ต่อกันในปัจจุบัน ๑ เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ
    คือ น้ำและเปือกตม ฉะนั้น"


    ในพระอรรถกถาพระไตรปิฎกขยายความว่า ความรักของหญิงชายนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุสองประการ คือ
    ๑. การได้เคยอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน เคยเป็นมารดาบิดา ธิดาบุตร พี่น้องชาย พี่น้องหญิง สามีภรรยา
    หรือเคยเป็นมิตรสหายกัน เคยอยู่ร่วมเคียงกันมา ความรักความผูกพันนั้นย่อมไม่ละ คงติดตามไปแม้ในภพอื่น
    ๒. ความเกื้อกูลช่วยเหลือกันในชาติปัจจุบัน ความรักย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุสองประการนี้


    สารพัดคู่
    หญิงชายที่รักกัน และมีความสัมพันธ์กัน เรียกว่าเป็นคู่กัน ลักษณะการเป็นคู่ของหญิงชายนั้นมีได้
    หลายแบบ คือ

    คู่รัก คือ คู่หญิงชายที่มีใจรักสมัครสมาน ปฏิบัติต่อกันในฐานะคู่รัก แต่ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน
    คู่ครอง คือ หญิงชายที่ได้ตกลงอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากันในชาติภพปัจจุบัน
    เนื้อคู่ คือ หญิงชายที่เคยเป็นคู่ครองกันมาในอดีตชาติ แต่ในชาติภพปัจจุบัน อาจเป็นหรือ ไม่ได้เป็นคู่ครองกันก็ได้
    คู่แท้ คือ หญิงชายที่เป็นเนื้อคู่กัน เคยอยู่ร่วมกันในอดีตมามากกว่าคนอื่น ๆ หญิงชายแต่ละคนอาจมีคู่แท้ได้หลายคน และเช่นเดียวกับเนื้อคู่ คือ คู่แท้อาจจะไม่ได้เป็นคู่ครองกันในชาติปัจจุบันก็ได้ หากทั้งสองฝ่ายไม่ได้มาเกิดร่วมกัน หรือทั้งสองฝ่ายมีวิบากจากอกุศลกรรม มาตัดรอน
    คู่เวรคู่กรรม คือ หญิงชายที่ได้เป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน แต่เนื่องจากเหตุที่ทำให้ต้องมาครองคู่กันนั้น เกิดจากเคยทำอกุศลกรรมร่วมกันไว้ในอดีต จึงต้องมารับวิบากกรรมร่วมกัน หรือเคยอาฆาต พยาบาทกันมาก่อนในอดีต จึงต้องมาอยู่ร่วมกันเพื่อแก้แค้นกันตามแรงพยาบาทนั้น คู่ประเภทนี้มักจะมีเหตุให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดอกขัดใจกัน อยู่ด้วยกันด้วยความทุกข์และเดือดร้อน หาความสุขไม่ได้
    คู่บารมี คือ หญิงชายที่เป็นเนื้อคู่กัน เคยอยู่เป็นคู่ครองกันมากมากกว่าคู่อื่น และมีความตั้งใจที่จะเกื้อหนุน เป็นคู่ครองกันไป จนกว่าคู่ของตนจะได้สำเร็จในธรรมที่ปรารถนาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล ดังเช่นคู่ของพระโพธิสัตว์กับพระนางพิมพา


    การปฏิตนเพื่อให้เป็นคู่ครองที่มีความสุข
    หญิงและชายที่รักกัน คงปรารถนาที่จะให้คนรักของตนเป็นเนื้อคู่ที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน และคงอยากให้ความรักของตนมีแต่ความสุขตลอดไป แต่ความปรารถนาเช่นนี้ใช่ว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในทุกคู่รัก เพราะบางคู่อาจมีการพลัดพราก ความรักจืดจาง จากหวานกลายเป็นขม บางคู่แม้จะยังรักกัน แต่การทำมาหากินกลับฝืดเคือง ชีวิตมีแต่อุปสรรค เหล่านี้ล้วนแต่เป็นทุกข์ที่เกิดเพราะความรัก เป็นวิบากที่เกิดจากอกุศลกรรมเก่าทั้งสิ้น


    หากหญิงและชายปรารถนาที่จะมีความรักและชีวิตที่ครอบครัวที่เป็นสุข จะต้องเป็นผู้ไม่สร้างอกุศลกรรม ดังนี้
    ๑. มีความมั่นคงในคู่ครองของตน ไม่เจ้าชู้หลายใจ ไม่ทำให้คู่ของตนผิดหวังชอกช้ำใจ โดยเฉพาะต้องมีสติมั่นคงเมื่อได้มีโอกาสได้พบกับเนื้อคู่คนอื่นๆ ที่อาจผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งการได้เคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อนอาจทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
    ๒. ไม่เป็นเหตุให้คู่ครองเขาต้องแตกแยกด้วยความอิจฉา ริษยา
    ๓. ไม่ล่วงศีลข้อ ๓
    ๔. ไม่ปรามาสพระอรหันต์ ดังหลักฐานปรากฎในพระไตรปิฎกว่าคนที่ปรามาสพระอรหันต์หญิง มักได้รับเศษกรรมในเรื่องของคู่ครอง


    สัญญานคู่แท้
    เนื่องจากคู่แท้ คือ คนที่เป็นเนื้อคู่กันมานานแสนนาน ความรักความผูกพันข้ามภพชาติจึงมีมากเหนือคู่แบบอื่น และอาจมีอธิษฐานร่วมกันมาแล้วในอดีตชาติ จึงพอจะสังเกตได้ว่าใครเป็นคู่แท้คู่บารมี


    ลักษณะอาการที่แสดงเมื่อคู่บารมีมาพบกัน เช่น เมื่อแรกพบก็รู้สึกคุ้นเคย อาจจำกันได้ อาจจะไม่รู้สึกว่ารักตั้งแต่แรกพบ แต่มีรู้สึกว่าผูกพันกันมากกว่า ไม่ว่าทำสิ่งใดก็มักคล้อยตามกัน มีความคิดลงรอยกันมากกว่าปกติ แม้อยู่ห่างไกลกัน ต่างจังหวัด ต่างบ้านต่างเมือง ก็มีเหตุชักนำให้ได้มาพบกันแบบแปลก ๆ ด้วยหน้าที่การงาน ด้วยเหตุบังเอิญ หรือแม้แต่มีผู้ใหญ่จัดสรรให้ได้พบกันก็มี
    หากมีกรรมพลัดพรากเป็นเหตุให้ทั้งคู่ยังไม่ได้พบกัน อีกฝ่ายจะมีความรู้สึกเหมือนรอคอยใครสักคน ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แม้มีหญิงชายมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ไม่ได้มีจิตคิดผูกพันกับใครอย่างจริงจัง อาจมีบ้างที่มีรักมีสัมพันธ์กับใครไปก่อน แต่มักมีเหตุให้เลิกราหย่าร้างกันไปด้วยจิตใจที่รอคอยใครสักคน ที่เป็นคู่แท้ของตน และหากได้พบกับคู่แท้ของตนแล้ว แต่มีวิบากจากอกุศลกรรมอันเป็นกรรมพลัดพรากมาตัดรอน เป็นเหตุให้ต้องจากกันในภายหลัง แม้จะจากกันไปนานแสนนานนับสิบๆ ปี ก็ไม่อาจลืมกันได้


    การตั้งความปรารถนาจะพบกันในชาติภพต่อไป
    หญิงชายแต่ละคนนั้นต่างผ่านทุกข์ภัยของสังสารวัฏฏ์มานานแสนนาน ต่างผ่านการครองคู่มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมาย เป็นแสนเป็นล้านคน บางคนเป็นคู่กันแล้วก็มีความสุข อยากพบเจอและได้อยู่เป็นคู่กันอีกในชาติภพต่อไป แต่บางคนก็เบื่อหน่ายไม่ถูกใจคู่ของตน ไม่ปรารถนาจะกลับมา พบเจอกันอีก
    เหตุที่จะทำให้คู่หญิงชายมีโอกาสได้อยู่ร่วมกันในชาติภพต่อไปนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุปัจจัยไว้ในสมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ดังนี้

    "ดูกร คฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก"

    ดังนั้น เมื่อหญิงชายปรารถนาจะได้พบกัน เป็นคู่ครองกันอีกในชาติภพต่อๆ ไป หญิงชายทั้งสองนั้นต้องปฏิบัติตามพุทธพจน์ และมีการตั้งจิตปรารถนา ดังนี้
    ๑. รักษาศีลให้เสมอกัน
    บุคคลที่มีศีลเสมอกันย่อมอยู่ร่วมกันได้ในปัจจุบัน เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็สามารถไปเสวยกรรมดีร่วมกัน แต่หากฝ่ายหนึ่งทรงศีล แต่อีกฝ่ายทุศีล ฝ่ายหนึ่งย่อมไปสู่สุคติภูมิ ส่วนอีกฝ่ายต้องไปสู่อบายภูมิ โอกาสที่จะได้กลับมาพบกันนั้นยากยิ่งนัก
    ๒. ให้ทานและยินดีในการบริจาคเสมอกัน
    หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้ทานและบริจาค แต่อีกฝ่ายไม่ชอบใจ ก็จะเกิดความขัดแย้ง ไม่ลงรอยกัน นำไปสู่ความบาดหมาง และเอาใจออกห่างกันในที่สุด
    ๓. ทำปัญญาให้เสมอกัน
    การทำปัญญาให้เสมอกัน มีการปฏิบัติสมาธิภาวนา จะทำให้ทั้งสองมีความเข้าใจในโลกธรรมเสมอกัน มีความเข้าใจในสุขและทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน และยอมรับกันได้
    ๔. ตั้งจิตอธิษฐาน
    อธิษฐานนั้นมีผล ทั้งอธิษฐานที่เป็นกุศลและอกุศล การอธิษฐานเป็นเหมือนการตั้งหางเสือเรือ ทำให้เรือมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่กำหนดไว้ ในการครองคู่ก็เช่นกัน อธิษฐานจะเป็นตัวชักนำให้หญิงชาย ได้กลับมาพบกัน และได้ครองคู่กันได้ในที่สุด ดังเช่น อธิษฐานของสุมิตตาพราหมณี ซึ่งอธิษฐานเป็น คู่บารมีให้พระโพธิสัตว์ จากนั้นมาอีกหลายชาติ ทั้งสองก็ต้องใช้เวลาปรับศีล ทาน และปัญญา ให้มาเสมอกัน และได้เป็นคู่บารมีกันสมคำอธิษฐานนั้น


    การปรารถนาเป็นคู่บารมี
    หญิงชายที่ปรารถนาเป็นเนื้อคู่กันตลอดไปนั้น สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงร่วมกันปฏิบัติตนให้มี ศีล ทาน และปัญญา ให้เสมอกัน และมีอธิษฐานร่วมกันเป็นหลักชัย
    แต่การเป็นคู่บารมีนั้นหมายถึงฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ มีความปรารถนาเอกอุในการบำเพ็ญพุทธการกธรรมเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาสร้างสมบารมียาวนานอย่างเร็วสุดถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนกัป และอย่างช้าต้องเนินนานถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนกัป ซึ่งเป็นกาลเวลาที่ยาวนานมาก แต่การสร้างสมบารมีของบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น ใช้เวลาประมาณ ๑ แสนกัป ก็มีบุญบารมีมากพอที่จะบรรลุธรรม และหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์นี้ไปได้ การผูกพันเป็นคู่บารมีจึงเป็นการผูกมัดตนเองไม่ให้มีโอกาสได้บรรลุธรรม แม้จะได้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเป็นแสนเป็นล้านองค์
    นอกจากนี้ การเป็นคู่บารมียังต้องพบกับความทุกข์ยากนานับประการ ดังเช่นที่พระนางพิมพาได้ประสบตลอดเวลายาวนานถึง ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป
    ดังนั้นการจะอธิษฐานติดตามเป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์สักองค์หนึ่ง จึงควรไตร่ตรองให้ดีว่าไม่ใช่อธิษฐานด้วยเหตุเพราะความรักและตัณหา แต่ต้องประกอบไปด้วยความรักและความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อ พระโพธิสัตว์องค์นั้น นอกจากนี้ยังต้องมีน้ำใจสงสารและอยากช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นกองทุกข์ และมีกำลังใจเข้มแข็งเท่าเทียมกับพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งเช่นกัน


    credit : http://board.palungjit.com/f8/คู่รัก-คู่บารมี-132118.html

    วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

    เมื่อมีทุกข์มาก ต้องมีขันติธรรม

     

    ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะอดทนและอดกลั้นได้

    ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เมื่อเราทำได้แล้ว

    เราก็จะสามารถตั้งอยู่ในความดี

    ความถูกต้องและเจริญก้าวหน้าต่อไปได้



    เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่เราเคยคิดว่า เลวร้าย

    ก็จะค่อยๆเปลี่ยนไป

    และอาจจะนำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเราก็ได้

    และถ้าใจเรามีกำลัง ใจสงบ ใจดี ในมีเมตตาแล้ว

    จะไม่มีอะไรที่เราแก้ไขไม่ได้

    ฉะนั้น ขอให้เราตั้งอยู่ในความดี ความถูกต้อง

    คิดดี พูดดี ทำดี ในทุกสถานการณ์

    ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก อยู่ในวัฏสงสาร

    แม้จะทำดี ทำความดีขนาดไหนก็ตาม

    พายุแห่งการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์

    มันก็ยังมีอยู่ ไม่มีใครหนีพ้น

    แม้แต่พระบรมศาสดาของเราก็ต้องประสบเหมือนกัน

    หลังจากท่านตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญานแล้ว

    แม้จิตใจท่านจะบริสุทธิ์ขนาดไหน มีปัญญาลึกซึ้งขนาดไหน

    มีเมตตาขนาดไหนก็ตาม เหตุการณ์ต่างๆก็ยังคงเกิดขึ้นกับท่าน

    ซึ่งตามความรู้สึกของเรา

    ก็คิดว่า ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นกับพระองค์

    แต่นั่นเป็นเพียงความคิดของเรา

    ตามความเป็นจริง โลกธรรมฝ่ายไม่น่าปรารถนา

    ก็มีมากระทบพระพุทธองค์เหมือนกัน

     

    จงมองดูทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่เรา

    ทั้งทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ

    ด้วยจิตใจที่ดี จิตใจที่สุขุมอ่อนโยน

    มีเมตตา มีขันติ

    ด้วยความอดกลั้น และ ด้วยปัญญา

    โดย

    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

    วัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี

    อานิสงส์ของการรักษาศีล 5 ข้อ

    1. ผู้ที่รักษาศีลข้อ 1 ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อน้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะทำให้มีพลานามัยแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่ขี้โรค อายุยืนยาว ไม่มีศัตรูหรืออุบัติเหตุต่างๆ มาเบียดเบียนให้ต้องบาดเจ็บ หรือสิ้นอายุเสียก่อนวัยอันสมควร

    2.ผู้ที่รักษาศีลข้อ 2 ด้วยการไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของมิได้เต็มใจให้ ด้วยเศษของบุญที่นำมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้ได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย การทำมาหากินเลี้ยงชีพในภายหน้า มักจะประสบช่องทางที่ดี ทำมาค้าขึ้น และมั่งมีทรัพย์ ทรัพย์สมบัติไม่วิบัติหายนะไปด้วยภัยต่างๆ เช่น อัคคีภัย วาตภัย โจรภัย


    3.ผู้ที่รักษาศีลข้อ 3 ด้วยการไม่ล่วงประเวณีในคู่ครอง หรือคนในปกครองของผู้อื่น ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะประสบโชคดีในความรัก มักได้พบรักแท้ที่จริงจังและจริงใจ ไม่ต้องอกหัก อกโรย และอกเดาะ ครั้งเมื่อมีบุตรธิดา ก็ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อด้าน ไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวงฉุดคร่าอนาจาร ไปทำให้เสียหาย บุตรธิดาย่อมเป็นอภิชาติบุตร ซึ่งจะนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล

    4.ผู้ที่รักษาศีลข้อ 4 ด้วยการไม่กล่าวมุสา ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์จะทำให้เป็นผู้ที่มีสุ้มเสียงไพเราะ พูดจามีน้ำมีนวลชวนฟัง มีเหตุมีผล  ชนิดที่เป็น “พุทธวาจา” มีโวหาร ปฏิภาณไหวพริบในการเจรจา จะเจรจาความสิ่งใดก็มีผู้เชื่อฟัง และเชื่อถือสามารถว่ากล่าวสั่งสอนบุตรธิดาและศิษย์ให้อยู่ในโอวาทได้ดี

    5.ผู้ที่รักษาศีลข้อ 5 ด้วยการไม่ดื่มสุราเมรัย เครื่องหมักดองของมึนเมา ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้เป็นผู้ที่มีสมอง ประสาท ปัญญา ความคิดแจ่มใส จะศึกษาเล่าเรียนสิ่งใด ก็แตกฉานและทรงจำได้ง่าย ไม่หลงลืมฟั่นเฟือนเลอะเลือน ไม่เสียสติ วิกลจริต ไม่เป็นโรคสมอง โรคประสาท ไม่ปัญญาทราม ปัญญาอ่อน หรือปัญญานิ่ม

    จากหนังสือ “วิธีสร้างบุญบารมี” พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 19 วัดบวรนิเวศวิหาร

    วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

    แก้เคล็ด ปรับดวงชะตา

    ปรับดวงอาภัพคู่
    บางคนมีความรัก แต่มักผิดหวัง รักเขาแต่เขาไม่รัก หรือเขาก็รักแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรืออยู่กันไม่ยืด หรือบางคนต้องอยู่โดดเดี่ยวอ้างว้างเพราะไม่พบเจอความรักเลยเป็นเวลานานหลายปี บางคนพบรัก มีคู่รักแต่ก็มีเหตุให้คลาดจากกันมิได้อยู่ครองคู่กัน อย่างนี้เรียกว่า ดวงอาภัพคู่ เหตุหนึ่งมาจากชาติปางก่อนมิได้ร่วมทำบุญกุศลกับคนรัก จึงขาดคู่สร้างคู่สมที่เกิดมาเพื่อจะเป็นคู่กันอีก

    วิธีแก้เคล็ด
    1. ถวายสิ่งของเป็นคู่ที่วัด เช่น แจกันคู่ เชิงเทียน เทียนคู่ (9 คู่) ธงคู่ ผ้าคู่ หมอนคู่ เป็นต้น หรือบริจาคของเป็นคู่แก่คนอื่น
    2. ร่วมเป็นเจ้าภาพทำบุญเลี้ยงพระให้คู่บ่าวสาวในวันแต่งงานร่วมพิธีเลี้ยงพระตอนเช้า
    3. ถวายพวงมาลัยดอกรัก และดอกมะลิ ไหว้พระบูชาพระทุกสัปดาห์เป็นประจำ
    4. หาต้นรักไปปลูกลงดินในบริเวณวัด (อย่าปลูกไว้บริเวณบ้านเด็ดขาด)
    5. ถือพรหมวิหาร 4 คือเมตตา กรุณาต่อผู้อื่น ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี เมื่อเห็นผู้อื่นได้ทุกข์ก็ไม่ซ้ำเติมเขา
    6. ปลูกไม้ดอกหอม และว่านต่างๆ เช่น เสน่ห์จันทร์ เป็นต้น




    คู่ครองที่มีชะตาเป็นศัตรูกัน, ภพปัตนิตกภพวินาศ, อริ, มรณะ หรือดวงไม่สมพงศ์กัน
    พื้นดวงของคู่สมรสบางคู่เมื่อเอาเทียบกันแล้วอาจเป็นศัตรู หรือผูกดวงแล้วเจ้าเรือนปัตนิตกอยู่ในภพวินาศ ภพหริ หรือภพมรณะ ตามหลักโหราศาสตร์แล้วถือว่าไม่ดี จะเดือดร้อนเพราะคนรัก คู่รัก คู่ครอง นำความเสียหายมาให้ คู่ครองเป็นคนที่ต่ำต้อยหรือต่ำทราม มีคู่ครองมั่วสุมติดอบายมุข ติดยาเสพติด และการพนัน อาจเกิดการหย่าขาดกันกับคู่ครอง หรือไม่ก็ตายหนีจากกัน ได้คู่แล้วพบแต่ความทุกข์ ไม่มีความสุขในชีวิตสมรส คู่ครองทำให้หมดตัว ทำให้เกิดโทษ ชีวิตในการแต่งงานมีแต่เรื่องลึกลับ ซับซ้อน ยุ่งยากที่จะเข้าใจกันและกัน ฯลฯ

    วิธีแก้เคล็ด (ทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด)
    1. ให้อยู่กันแบบลับๆ
    2. ไม่จดทะเบียนสมรส หากจดก็ให้ฝ่ายหญิงเลือกใช้นามสกุลตัวเอง (ไม่ใช่นามสกุลสามี)
    3. ถ้าจดทะเบียนสมรสแล้ว (ทำข้อ 2 ไม่ได้) ให้อยู่ห่างกันบ่อยๆ เช่น ทำงานคนละที่ ไม่ได้เห็นหน้ากันตลอด 24 ช.ม.
    4. แยกห้องนอนกัน (เพื่อแก้เคล็ดเฉยๆ) เวลาอยากกุ๊กกิ๊กก็มาหากันได้
    หมายเหตุ : ทำตามวิธีเหล่านี้พอแก้เคล็ดได้



    ปรับดวงชะตาอ่อน มีแต่อุปสรรค
    ช่วงเวลาใดที่รู้สึกว่าชีวิตไม่ราบรื่น มีแต่อุปสรรคจู่โจมในหลายๆ ทางจนติดขัดไปหมด มิว่าจะเป็นการงาน หรือเรื่องเงินๆ ทองๆ ช่วงเวลานี้เรียกว่าเป็นดวงชะตาอ่อนกำลังแรง เช่น ถ้าช่วงนั้นดวงของคุณถูกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็จะเกิดอารมณ์ปรวนแปรง่าย จนเกิดทะเลาะบาดหมางกับคนอื่นไปทั่ว ช่วงที่ดวงอ่อนมักจะมีหลายเรื่องอยู่ในเกณฑ์ “ตก” คนโบราณจึงนิยมเรียกว่า “ดวงตก” เมื่อดวงอ่อนการงานมักตกต่ำ ทำอะไรก็ผิดพลาดง่าย คนที่เคยรักและเอ็นดูเราก็กลับห่างเหินเมินหมางอย่างนี้เรียกว่า “ตก” เช่นกัน คนเคยเล่นพนันขันต่อได้ คนที่เคยจับงานใดเป็นเงินเป็นทอง เมื่อดวงชะตาอ่อนกำลังลงก็จะเป็นช่วง “มือตก” ทำอะไรก็ไม่ขึ้น เหตุเกิดเพราะดาวเคราะห์ที่ให้โทษมาทับดาวราศีเกิด ต้องอดทนรอสักพักจึงจะดีขึ้นได้เมื่อดาวร้ายจรจากไป แต่วิธีแก้เคล็ดแก้เคราะห์ให้เรื่องหนักกลายเป็นเรื่องเบาลงก็มีแนวทางหลายประการเช่นกัน ดังต่อไปนี้

    วิธีแก้เคล็ด
    ไปซื้อปลาไหลในตลาดสด นำไปปล่อยลงแม่น้ำใหญ่ ซื้อปลาไหล 9 ตัว หรือ 9 ตามแก่กำลังทรัพย์ของตน ปล่อยทุก 10 วัน ติดต่อกัน 7 ครั้ง



    ปรับดวงคนป่วย
    ความเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องของสังขารที่เราต้องยอมรัก และหาทางรักษาเยียวยากันไปตามสภาพความเป็นจริง แต่ในกรณีที่เรารู้สึกว่าคนเจ็บป่วยนั้นยังเด็กเกิดกว่าจะนอนป่วยหนักอาการน่าเป็นห่วง หรือผู้ป่วยนั้นเป็นคนที่รักมากจนมิอาจทำใจได้เมื่อเห็นเขาป่วยหนักจนกลัวว่าเขาจะสู้กับอาการเจ็บป่วยนั้นไม่ได้ ก็สามารถพึ่งพาการทำบุญสะเดาเคราะห์ได้อีกทางหนึ่งเพื่อความสบายใจและบางครั้งการทำบุญแก้เคราะห์แก้กรรมก็สามารถช่วยปรับดวงได้หากดวงชะนั้นยังไม่ถึงคราวดับสูญ

    วิธีแก้เคล็ด
    ปล่อยเต่า 3 ตัว หรือ 9 ตัว ทุก 7 วัน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนครบ 5 ครั้ง



    เจ็บป่วยรักษาไม่หาย
    ถ้าคนในบ้านล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้ฉีดยากินยาแล้วก็ยังไม่หาย หากสงสัยว่าล้มป่วยเพราะไปลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดที่หนึ่ง ก็ต้องแก้เคราะห์ดังนี้

    วิธีแก้เคราะห์
    1. จัดเครื่องสังเวยเป็นผลไม้และขนมหวาน ดอกไม้ ธูป เทียน ใส่ถาดไปตั้งวางที่กลางแจ้ง
    2. สวดขอขมาเทวดา 1 จบ
    3. เมื่อธูปหมดดอก (ใช้ธูป 9 ดอก) ให้นำเครื่องสังเวยไปไว้ที่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ วันต่อมาให้สวดมนต์บทขอขมาเทวดาวันละ 1 บท ต่อเนื่องกันไปอีก 6 วัน (เพื่อให้ครบสวด 7 บท 7 วัน) และในทั้ง 7 วันนี้ เมื่อสวดขอขมาเทวดาแล้วให้สวด “บทอิติปิโส (คาถาสะเดาะเคราะห์ (ต่ออายุ)” อีกวันละ 7 จบด้วย

    บทสวดขอขมาเทวดา
    อิติสุขะคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พรหมะเทวา อินทะเทวา
    อังคะเทวา อาคันตุกะเทวะตา รุกขะเทวาพาลี ชัยยะมังคะลา อาจาริยัง อาจาริยะเทวา
    มุณีสิทธา มาตาปิตุโร อะโรคะเยนะ สุขเขนะ จะ ขะมามิหัง สาธุ สาธุ สาธุ

    คาถาสะเดาะเคราะห์ (ต่ออายุ)
    อิติปิ โส ภะคะวา พระอาทิตย์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระจันทร์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระอังคารเทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระพุทธเทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระพฤหัสเทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระศุกร์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระเสาร์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระราหูเทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา พระเกตุเทวา วิญญาณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง
    อิติปิ โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ
    อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน
    อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต
    อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู
    อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
    อิติปิ โส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง
    อิติปิ โส ภะคะวา พุทโธ
    อิติปิ โส ภะคะวา ภะคะวา ภะคะวาติ



    ปรับดวงธุรกิจการงาน
    ตกงานเพราะสมัครงานไม่ได้ หรือถูกให้ออกจากงานมีงานทำแต่ไม่เจริญก้าวหน้ามีงานทำแต่มักทำงานผิดพลาดหรือมีอุปสรรคมาก ติดต่อเรื่องใดก็ติดขัดไม่สำเร็จ ลักษณะดังกล่าวนี้เป็นเพราะอยู่ในช่วงที่ดวงชะตาอ่อนจนมีผลกระทบในเรื่องการงาน แต่อีกปัจจัยหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิถีการดำรงชีวิตของแต่ละบุคคลด้วย ถ้าไม่ขยันหางานทำ หรือไม่ตั้งใจทำงานจนเกิดผิดพลาด หรือก้าวหน้าช้า อย่างนี้แก้ดวงอย่างไรก็คงช่วยไม่ได้ แต่สำหรับคนที่ทุ่มเทอย่างจริงจัง แต่กลับรู้สึกว่ายังต้องเหนื่อยกว่าปกติธรรมดา อย่างนี้ก็ใช้วิธีแก้เคล็ดแก้ดวงได้ในระดับหนึ่ง

    วิธีแก้เคล็ด
    1. ไปไหว้พระพรหมขอความสำเร็จในการงาน ให้อธิษฐานจิตอย่างตั้งใจ
    2. จัดเครื่องเซ่นกราบไหว้เจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน จัดผลไม้ดอกไม้อีกชุดหนึ่งไหว้บูชา พระบนหิ้งที่บ้านด้วย
    3. ไปไหว้พระที่วัด เต็มน้ำมันตะเกียง บริจาคเงินร่วมสมทบทุนค่าน้ำ-ค่าไฟของวัด
    4. ไปกราบไหว้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (เสด็จพ่อ ร.5) ถวายกุหลาบสีชมพู ธูป 9 ดอก
    5. ปล่อยปลาไหล



    ปรับดวงหม่นหมองอับเฉา
    บางช่วงคนเราอาจไม่ได้มีปัญหาที่เรื่องการงาน และการเงินแต่ก็ประสบปัญหาในด้านอื่นๆ จนทำให้จิตใจมีแต่ความทุกข์ ความเศร้าเป็นอันมากหรือบางครั้งอาจเป็นทุกข์ไปเสียทุกเรื่อง มิว่าจะจัดทำอะไรเป็นไม่ได้ผลดีมีแต่เรื่องวุ่นวายยุ่งยากเกิดขึ้นเสมอ อย่างนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นช่วงดวงชะตาอ่อนจนชีวิตมืดมิดอับเฉาหาความสุขใดมิได้เลย

    วิธีแก้เคล็ด
    1. ไปกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม เทพผู้เมตตาและช่วยให้มนุษย์พ้นทุกข์พ้นภัย ๖ควรอธิษฐานงดกินเนื้อวัว หรือถือศีลกินเจเป็นเวลา 3-7 วัน ทุกเดือน)
    2. ทำสังฆทานทุกเดือนติดต่อกัน 3 เดือน
    3. ไปกราบไหว้พระที่วัดใกล้บ้าน ปิดทองคำเปลว ถวายธูป เทียน และพวงมาลัยดอกไม้ด้วย
    4. ไปกราบไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ
    5. ทำบุญ บริจาคทาน
    6. ถือศีล 8 เคร่งครัด 7 วัน หรือไปนั่งสมาธิ หรือบวชชีพราหมณ์
    7. ทำบุญปล่อยปลา ปล่อยหอยขม



    ปรับดวงเกิดอุบัติเหตุบ่อย หรือมีคดีความ
    ความประมาททำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าช่วงใดที่ชีวิตต้องประสบพบเจอแต่อุบัติเหตุต่างๆ บ่อยจนผิดปกติก็เป็นไปได้ว่าเหตุนั้นมีผลปัจจัย มาจากช่วงดวงอ่อนจนเคราะห์ภัยมาทับมาแทรกหรือช่วงใดที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะตนเองหรือคนในบ้านมีคดีความก็ถือว่าต้องหาทางแก้เคล็ดแก้เคราะห์ เพื่อช่วยลดหนักเป็นเบาอีกทางหนึ่ง

    วิธีแก้เคล็ด
    1. ไปซื้อโลงศพทำบุญทำทานให้ผู้เสียชีวิตที่อนาถา ไปทำบุญโลงศพได้ตามมูลนิธิต่างๆ
    2. ถือศีล 8 เคร่งครัด 7 วัน
    3. ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ตอนเช้า ถวายสังฆทาน
    4. ปล่อยปลา ปล่อยนก



    การปล่อยสัตว์แก้เคล็ดปรับดวง
    - ควรไปซื้อนก ซื้อปลาจากตลาดสด
    - เลือกปลาที่ชะตากำลังจะหมด เพราะจะถูกคนซื้อไปฆ่าทำเป็นอาหาร และควรนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่จะดีกว่าลำคลองเล็กๆ
    - ควรปล่อยให้ลงท้ายด้วยเลข 9 หรือตามกำลังทรัพย์ที่สะดวก ถ้ามีเคราะห์หนักอยากปล่อยปลาเท่าอายุ เช่น 40 ก็สามารถทยอยปล่อยให้ครบจำนวน 40 ใน 1 เดือนก็ได้
    - ไม่จำเป็นต้องไปปล่อยที่วัด แต่เป็นที่ที่เราสะดวกก็ได้
    - เมื่อปล่อยสัตว์ใดแล้ว ต้องงดกินเนื้อสัตว์นั้นตลอดชีวิต
    1. ปล่อยปลาทั่วไป จุดประสงค์ เพื่อสะเดาะเคราะห์ ปรับดวงหม่นมัวให้สดใสรุ่งเรือง
    2. ปล่อยปลาข่อน จุดประสงค์ เพื่อสะเดาะเคราะห์ปรับดวงให้หมดเคราะห์หมดภัย
    3. ปล่อยปลาไหล เพื่อสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น ลื่นไหล พ้นจากอุปสรรค
    4. ปล่อยเต่า เพื่อสะเดาะเคราะห์ ขอให้คนที่เจ็บป่วยหายวันหายคืนและมีอายุยืนยาวต่อไป
    5. ปล่อยหอยขม เพื่อสะเดาะเคราะห์ ขอให้หมดทุกข์หมดโศก ขอให้เรื่องขมขื่นชอกช้ำใจบรรเทาและลบเลือนสิ้นไปในเร็ววัน
    6. ปล่อยนก เพื่อสะเดาะเคราะห์ ขอให้มีความสุขความเจริญ ทำสิ่งใดให้โชคดี และพ้นจากทุกข์ภัยต่างๆ
    7. ปล่อยปลาสวาย เพื่อเสริมดวงเสริมบารมี ขอความสำเร็จ ขอโชคขอลาภ



    แก้เคล็ดสัตว์วิ่งตัดหน้ารถ
    มีว่าเดินทางไกลหรือใกล้ หากมีสัตว์วิ่งหรือเลื้อยตัดผ่านหน้ารถไปถือว่าเป็นลางไม่ดี คนโบราณถือว่าเป็นลางบอกเหตุเคราะห์ภัยอันตรายต่างๆ แต่บางครั้งก็เป็นลางดี

    เคล็ดลาง
    สัตว์ผ่านตัดหน้า จากซ้ายไปขวา จะมีโชคมีลาภ
    สัตว์ผ่านตัดหน้า จากขวาไปซ้าย ไม่ดี จะมีภัย
    สัตว์มาชนรถ ทางด้านหน้า ไม่ดี ให้หาที่จอดรถริมทางสักพักแล้วค่อยเดินทางต่อในอีก 15-30 นาที
    สัตว์มาชนรถ ทางด้านขวา ไม่ดี-ไม่ร้าย แต่ให้เดินทางช้าลง และเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
    สัตว์มาชนรถทางด้านซ้าย ไม่ดี ให้หยุดพักกราบดินเพื่อขมาและขอพรแม่พระธรณีก่อนเดินทางต่อไป
    สัตว์ชนรถทางด้านหลัง ถือว่าดี ให้เร่งเดินทางจะได้ประสบโชคลาภ



    สิ่งของที่สามารถทำบุญถวายพระได้
    นอกจากซื้อถังเครื่องสังฆทานไปถวายพระภิกษุสงฆ์ที่วัดแล้วยังมีสิ่งของอีกมากมายที่พุทธศาสนิกชนคนไทยเราสามารถจะเลือกซื้อไปถวายได้เช่นกัน ถือเป็นการทำบุญถวายทานที่ได้บุญได้อานิสงส์มาก เพราะเป็นการถวายสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่พระภิกษุสงฆ์
    - ผ้าป่า ผ้ากฐิน ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าไตรจีวร ผ้าจำนำพรรษา
    - ยารักษาโรค ตู้ยารักษาโรค เครื่องเสบียงอาหารแห้ง
    - เครื่องเขียน หนังสือธรรมะ โต๊ะ -เก้าอี้
    - สลากภัต เทียนพรรษา ธูป -เทียน
    - พระพุทธรูป บาตร ตาลปัตร โต๊ะหมู่บูชา
    - ธรรมาสน์ เสนาสนะที่นั่ง ที่นอนต่างๆ
    - ระฆัง กลอง สร้างหอระฆัง สร้างหอกลอง
    - สร้าง ซ่อมแซมกุฏิ สร้างห้องน้ำ ห้องส้วม
    - พัดลม นาฬิกา ร่ม รองเท้า กระโถน
    - โคมไฟ ไฟฉาย กระติกน้ำร้อน กาน้ำชา

    วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

    นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย

    ผู้ถูกนินทาพึงมีเหตุผล

    คำนินทาใดๆ ไม่อาจทำคนดีให้เป็นคนไม่ดีไปได้ คนจะดีก็เพราะกรรม คนจะเลวก็เพราะกรรม หาใช่จะดีเพราะสรรเสริญ หรือจะเลวเพราะนินทาก็หาไม่

    ควรถือความจริงนี้เป็นสำคัญ และอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะกลัวนินทาหรือเพราะปรารถนาสรรเสริญ อย่าทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่แม้เพียงสงสัยว่าเป็นกรรมไม่ดี แต่จงทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่พิจารณาแล้วตระหนักแน่ชัดว่าเป็นกรรมดีเท่ากัน แม้ว่าการทำกรรมดีจะมีผู้นินทา

    นินทานั้นไม่มีโทษแก่ผู้ถูกนินทาเลย ถ้าผู้ถูกนินทาไม่รับ คือไม่ตอบ เช่นเดียวกับผู้ถูกด่าไม่ด่าตอบ ผู้ถูกขู่ไม่ขู่ตอบ ผู้ถูกชวนวิวาทไม่วิวาทตอบ แต่คำนินทาว่าร้ายทั้งจะตกเป็นของผู้นินทาทั้งหมด ผู้นินทาคือผู้ทำกรรม ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ไม่ว่าผู้ถูกนินทาจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผู้นินทาย่อมได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมไม่ดีของเขาอย่างแน่นอน

    ดังนั้นแม้เมื่อถูกนินทาแล้ว ก็ให้คิดว่าผู้นินทาเราได้รับการตอบแทนแล้ว คือได้รับผลของกรรมไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น ผลของกรรมไม่ดีนั้นแหละได้ตอบแทนเขาผู้นินทาแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใด
    ความเชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมมีคุณอย่างที่สุด ผู้ใดทำกรรมไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ความเชื่อเช่นนี้จักทำให้ไม่คิดร้ายตอบผู้คิดร้าย เป็นการระงับเวรภัยไม่ให้เกิดแก่ตน เป็นการป้องกันตนมิให้ทำกรรมไม่ดี ทั้งทางกายวาจาและใจ โดยมุ่งให้เป็นการแก้แค้นตอบแทน ผลจักเป็นความสงบสุขแก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย

    ที่มา : การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ความสำคัญของอธิษฐานบารมี

    ถาม : แล้วเราอธิษฐานช่วยคนอื่นได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าถึงระดับที่ว่าจบกันไปแล้วมันจะเกิดฤทธิ์อย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า อธิษฐานฤทธิ์ กับบุญฤทธิ์ ๒ อย่างนี่สามารถช่วยคนได้


    ถาม : ถ้ายังไม่ถึงก็ไม่ควรใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้ายังไม่ถึงช่วยได้แต่มันก็ได้น้อย


    ถาม : เพราะว่าอย่างแม่เขาจะเป็นโรครักษาไม่หายซักที เสร็จแล้วอย่างหนูสวดมนต์หรือคนอื่นเขาจะทำบุญนี่หนู ๆ ก็จะ...(ไม่ชัด) ?
    ตอบ : ไม่เป็นไร ทุกครั้งก็บอกให้เขาโมทนาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเขาด้วย ทำไปเรื่อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อยดีกว่า ถ้าหากว่าไปแก้กรรมประเภทที่ว่าไม่ถูกต้องตามศีลตามธรรมเดี๋ยวจะเสียหายกันยกใหญ่เพราะมันจะเรียกกันเยอะ ๆ


    ถาม : ก็จะมีเพื่อนแนะนำให้ไปวัดโน้นวัดนี้บ้างแต่ก็ไม่กล้าไป ?
    ตอบ : ลำบากหน่อย ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็ย่อง ๆ ไปดูเขาก่อนอย่าเพิ่งพาคนไข้ไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปเหมือนนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ไปสังเกตการณ์ก่อนก็ได้ ถ้ายิ่งได้ทิพจักขุญาณก็ดูมันเลย ดูมันทำได้จริงหรือเปล่า ?


    ถาม : แล้วอย่างหนูทำบุญทุกวันหยอดเงินบาทหนึ่ง หยอดเงินหน้าหิ้งพระค่ะ แล้วหนูยังไม่ได้เอามาถวายถือเป็นการทำบุญหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : เป็นแล้ว เพราะว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าเงินส่วนนี้จะทำบุญ ถ้าหากว่าเราตายตอนนั้นผลบุญอันนั้นเราได้เลย แต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้รับสตางค์ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็นบุญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของเรานี่ เจตนามันเป็นบุญอยู่แล้ว พอเราได้ทำไปผลบุญนั้นก็เป็นอันสำเร็จแล้ว มันก็เหลืออยู่เพียงว่ามีวาระมีโอกาสก็เอาเงินนั้นมาถวายพระ เพราะฉะนั้นห้ามตายก่อน ตายก่อนพระขาดทุน


    อธิษฐานบารมีนี่สำคัญนะ เป็นบารมีที่สำคัญมาก คนที่ไม่ถึงระดับปรมัตถบารมีใช้อธิษฐานไม่เป็นด้วยซ้ำไป บางคนก็เข้าใจผิดว่า อธิษฐานบารมี อย่างเช่นว่า ทำบุญแล้วขอให้เป็นนั่นขอให้เป็นนี่ ขอให้ได้นั่นขอให้ได้นี่ปรากฏว่าเป็นการโลภเขาไปคิดอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่ อธิษฐานบารมีเป็นการเจาะจงว่าผลบุญที่เราทำจะให้มันเกิดอะไร จะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ สำหรับตัวเราเป็นการเจาะจงเวลา ถ้าหากว่าเราต้องการของอย่างหนึ่งตอนนี้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไว่กอนมันมาอีกโน่นปี ๒ ปี ข้างหน้า ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว


    อธิษฐานบารมีเป็นการยิงปืนเล็งเป้าเพื่อให้ถูกต้องเป้าหมาย ถ้าหากยิงเหวี่ยงแหส่งเดชไปมันอาจจะไม่ถูกเป้าหมายเลยก็ได้ สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วเขาส่งผลอยู่แล้ว


    อธิษฐานบารมีนี่เป็นการจำกัดว่าจะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดผลอย่างไร มันไม่ได้โลภอะไรเลย เพียงแต่กำหนดให้มันแน่นอนลงไปเท่านั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีนี่ถ้าหากว่าเราสร้างสาเหตุได้เพียงพอ ผลมันก็จะเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าเหตุมันยังไม่พอผลมันก็ยังไม่เกิดหรอก


    อย่างเช่นว่าน้ำขวดนี้ ยกตัวอย่างน้ำนี่ง่ายดี ถ้าหากว่าโยมสร้างเหตุเพียงพอก็คือ น้ำมันจะเต็มขวดแล้ว โยมตั้งใจอธิษฐานขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำเต็มขวด เขาก็ให้เราไม่ได้เพราะว่ายังไม่เต็ม
    เพราะฉะนั้นเราต้องทำเหตุให้เพียงพอ ผลถึงจะได้ เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา


    ที่หลวงพ่อโตวัดระฆัง ท่านบอกว่า ถ้าเจ้าไม่สร้างเอาไว้แล้ว เที่ยวไปขอร้องขอต่อคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าจะได้ เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นอยู่ตรงนี้ว่า เราต้องทำให้เพียงพอ ถึงเวลาอธิษฐานว่าเราต้องการอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้น


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา : เว็บ กระโถนข้างธรรมาสน์

    วัดที่ไปแล้วโปรดอย่าไปอีก

     

    ช่วงระหว่างวันที่ ๑๖ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๒ ผู้เขียนมีโอกาสเข้าวัดฝีกวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ครั้งที่ ๒ จึงถือโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เล่าประสบการณ์ชีวิตคนอยู่วัดให้ผู้อ่านได้ทราบค่ะ


    บทพิสูจน์คนจริง


    ก่อนเดินทางหนึ่งวัน ร่างกายเริ่มมีปัญหาปวดที่ข้อเท้า และไหล่ขวา จิตใจเริ่มลังเลจะไปดีหรือไม่ อย่างไรก็ต้องไปเพราะตั้งใจไว้แล้ว อีกทั้งยังชักชวนญาติมิตรอีก ๔ คน

    ถ้าผู้เขียนไม่ไปคนเดียวคนอื่นก็ไปไม่ได้เพราะไม่มีใครขับรถพาไป
    วันที่ ๑๖ เม.ย. ตัดสินใจเดินทางทั้ง ๆ ที่ข้อเท้าเริ่มปวดมากขึ้น เดินไม่ถนัด ใช้เวลาขับรถยนต์จากนครปฐม เกือบ ๔ ชั่วโมงไปถึงในเวลา บ่ายสามโมง ลงทะเบียนเข้าที่พัก เห็นบัตรที่พักก็ใจหายเพราะอยู่ที่โรงเรียนปริยัติธรรม ชั้น ๓ แค่เดินชั้นล่างก็แย่แล้ว ต้องขึ้นบันไดไปถึงชั้นสาม...

    จะเป็นอย่างไร อาศัยใจสู้ ฝืนเดิน แล้วก็พยายามทายา ใส่ยางยืดรัดข้อเท้าบรรเทาอาการปวด เดินเขย่งขึ้นบันไดด้วย
    ความเจ็บปวด เสียวแปลบ แต่ก็ไม่ถอดใจ...


    บรรยากาศการปฏิบัติ


    ในที่นี้คงไม่เขียนละเอียด เล่าโดยสังเขปละกันค่ะ ประมาณ
    ห้าโมงเย็น หลังจากรับประทานอาหารเย็นที่โรงทานแล้วก็ไปปฏิบัติธรรม โดยเจ้าหน้าที่แยกผู้มาใหม่กับผู้ที่เคยมาแล้วออกจากกันเริ่มเดินจงกรม ๒๐ นาที นั่งสมาธิ ๒๐ นาทีในรอบแรก และเดินจงกรม ๔๐ นาที นั่งสมาธิ ๔๐ นาที ในรอบที่สอง

    ส่วนวันอื่น ๆ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ - ๒๒ เม.ย. จะมีกิจกรรมที่เหมือนกันคือ
    รอบแรก พระตีระฆังในเวลา ๐๓. ๓๐ น. ทำภารกิจส่วนตัว
    จากนั้นก็ไปพร้อมกันที่ศาลา เริ่มทำวัตรในเวลา ๐๔.๐๐ น

    จากนั้นก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ รวมแล้วประมาณชั่วโมงเศษ ๆ เสร็จแล้วก็ไปรับประทานอาหารเช้าในเวลา ๐๖.๓๐ น.

    รอบที่สอง เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๑.๐๐ น. (เดินจงกรม นั่งสมาธิ)
    รอบที่สาม เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. (เดินจงกรม นั่งสมาธิ)
    รอบที่สี่ เวลา ๑๘.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. (ทำวัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ)


    ความร้อนพิสูจน์ทอง ความทุกข์พิสูจน์คน


    การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เดิน ๆ นั่ง ๆ ไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เพราะการฝึกปฏิบัติเพิ่มความเข้มข้นขึ้น เรื่อย ๆ จากรอบละ ๔๐ นาที เป็น ๔๕ นาที ๑ ชั่วโมง ๑.๑๕ ชั่วโมง และ ๑.๓๐ ชั่วโมง ใครที่ไม่เคยฝึกนั่งคงไม่รู้หรอกว่า อิริยาบถบังทุกขัง อย่างไร

    (หากเราพิจารณากฎไตรลักษณ์ เราจะพบว่า ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง
    ทุกขัง อนัตตา แต่ที่เรามองไม่เห็นเพราะมีบางสิ่งบดบังอยู่)

    ในระหว่างที่เดินจงกรม นั่งสมาธิ ช่วงเสวยทุกขเวทนา รู้สึก
    เบื่อหน่ายในกองขันธ์ทั้ง ๕ เห็นแต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เห็นการเกิดดับของจิตที่ทำงานอย่างรวดเร็ว ต้องคอยกำหนดและตามดูแลใจที่เหมือนลูกลิงที่ซุกซน บางครั้งก็เกิดอาการน้ำตาซึมด้วยความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ อีกนานเพียงใดจึงจะข้ามพ้นห้วงมหรรณพอันยาวไกล

    ฝ่าคลื่นแห่งกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปดไปได้พ้น…. นึกสงสารและเวทนาตัวเองไม่น้อย

    ช่วงที่ปฏิบัติห้ามพูด ห้ามคุย เพราะต้องฝึกสติอยู่ตลอดเวลาในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน การเดินต้องกุมมือไว้
    ข้างหน้า ห้ามแกว่งแขน ห้ามนั่งไขว่ห้าง ห้ามยืนดื่มน้ำ ห้ามถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้าม ต้องคอยระมัดระวัง
    แม้แต่เด็ก ๆ ก็ห้ามแตะต้องเพราะถือพรหมจรรย์อยู่

    เพื่อนนักปฏิบัติธรรมบางคน มาอยู่ได้คืนเดียวก็กลับบ้าน
    ทั้ง ๆ ที่มาจากต่างจังหวัด บางคนนอนไม่หลับก็ทนไม่ไหว บางคนบอกว่าเวลานั่งเห็นวิญญาณมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้า ( ฟังแล้วก็ขนลุกไม่รู้ว่าของจริงหรืออุปาทานกันแน่)

    บางคนมาจาก จ.นครราชสีมา บอกว่าอยู่บ้านเคยนั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นสบาย มาอยู่ที่นี่ ผู้คนมากมาย อึดอัด ร้อนก็ร้อน กลับบ้านดีกว่า…..


    เด็กสาวบางคนเล่าให้ฟังว่า พี่ชายมาส่งแล้วกลับไปแล้ว ไม่มีที่พักเพราะคนมากันมากโดยเฉพาะช่วงคืนวันศุกร์
    (การมาปฏิบัติธรรมที่นี่จะมีสองช่วงคือ มาวันโกนและกลับวันโกนอาทิตย์ต่อไป และ มาวันศุกร์ กลับวันอาทิตย์ ซึ่งมีคนมากันมาก) ไม่มีที่พักต้องไปพักหน้าอาคารพักซึ่งที่วัดมีสุนัขมาก สุนัขก็มาเลียหน้าตา ยุงก็กัด คนก็คุย
    นอนก็นอนไม่หลับ ได้แต่นอนร้องไห้น้ำตาไหล
    ด้วยความอดทน…..


    ส่วนผู้เขียนก็กัดฟันทน เดินจงกรม ตั้งแต่ปวดขามาก ๆ เดินไปเดินมา อาการเจ็บปวดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อเท้า หรือไหล่ก็ค่อย ๆ หายในที่สุด


    ทุกคนที่มาที่วัดแห่งนี้มาด้วยวัตถุประสงค์ต่างกัน บางคนก็บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตนตั้งสัจจะไว้ บางคนก็ท้อแท้สิ้นหวังเพราะลำบากกว่าที่คาดคิด ทั้งหมดคือบทพิสูจน์คน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากขาดอิทธิบาท ๔ ชีวิตทั้งทางโลก
    และทางธรรมย่อมล้มเหลวแน่นอน

    มาแล้วไม่ต้องมาอีก
    ช่วงที่ปฏิบัติ แม่ชีที่ดูแลจะคอยแนะนำการเดิน
    นั่งที่ถูกต้อง และพูดเสมอว่า “มาแล้วไม่ต้องมาอีก” ให้ไปปฏิบัติที่บ้านเพราะคนมากันมาก ทำให้อึดอัดแย่งอากาศกันหายใจ บางคนมาแล้วมาอีกไม่พัฒนา ไม่รู้จักเอาจริงเอาจัง มากี่ครั้ง ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา มากัน
    ตั้ง สามพันกว่าคน…..

    ผู้เขียนฟังแล้วก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ ที่มีไม่กี่คนและทำงานไม่มีวันหยุดวันแล้ววันเล่า ที่ผู้คนหลั่งไหลมาที่วัดอัมพวัน เพราะบารมีหลวงพ่อจรัญ อีกทั้งอิทธิพลของสื่อสารมวลชนในเรื่องการสแกนกรรม ผู้คนยิ่งแห่กันมาอย่างคับคั่ง…. จนไม่แน่ใจว่าศรัทธาหรือกระแสกันแน่… และบอกกับตัวเองว่า มาแล้วคงไม่มาอีก ไม่ใช่ที่นี่ไม่ดีหากแต่ดีมาก ทางวัดพยายามอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชุดขาว ย่ามใส่ของ รองเท้าแตะ ขันน้ำพลาสติก มีให้ยืมหมด

    อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ
    ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมา

    แต่คนที่เคยมาแล้วก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นได้มาปฏิบัติอย่างสะดวก สบาย ไม่อึดอัด ไม่เดือดร้อนเรื่องที่พัก และการบริการ อีกทั้งเจ้าหน้าที่จะได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าบ้าง…..

    มาแล้วโปรด
    อย่ามาอีกเลยนะคะ

     

     

     

    ที่มา : โดย คุณ ธรรมทิพย์ จาก เว็บบอร์ด พลังจิต