วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คู่เวร

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านคยา ได้ให้ธิดาแก่บุตรพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น ธิดาพราหมณ์เป็นลูกสะใภ้แล้วได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ในบ้าน นางเห็นลูกสาวของทาสีในบ้านนั้นแล้วไม่ชอบหน้า นับแต่เห็นมานางก็แสดงอาการฮึดฮัดด่าว่าด้วยความโกรธ และชูกำปั้นแก่ลูกสาวทาสีนั้น เมื่อลูกสาวทาสีโตพอที่จะทำการงานได้ นางก็ใช้เข่า ศอก และกำปั้นทุบตีเหมือนผูกอาฆาตกันมาในชาติก่อนๆหลายชาติทีเดียว

     เล่ากันมาว่า ในครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสะปะ ทาสีนั้นได้เป็นนายและได้ทุบตีลูกสะใภ้ด้วยก้อนดินและชูกำปั้นให้เสมอๆ ลูกสะใภ้เหนื่อยหน่ายเพราะการกระทำนั้น ได้ทำบุญให้ทานตั้งความปราถนาขอให้ได้เป็นนายบ้าง ในชาติปัจจุบันคนทั้งสองจึงมีสถานะกลับกัน

     วันหนึ่งโดยไม่มีเหตุสมควรเลย ลูกสะใภ้ได้จิกผมใช้ทั้งมือทั้งเท้าตบตีอย่างเต็มที่ ทาสีนั้นไปศาลาอาบน้ำ โกนผมเสียเกลี้ยง ลูกสะใภ้จึงกล่าวว่า อีทาสีชั่ว เพียงโกนผมเกลี้ยงก็จะพ้นหรือ แล้วเอาเชือกพันศรีษะ จับนางให้ก้มลงแล้วเฆี่ยน และไม่ให้นางเอาเชือกออก แต่นั้นมานางทาสีจึงได้ชื่อว่า รัชชุมาลา (รัชชุ แปลว่า เชือก มาลา แปลว่า หมวก)

     วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก นางรัชชุมาลาได้ปรากฏในข่ายพระญาณจึงเสด็จเข้าไปในป่า ประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ฝ่ายนางรัชชุมาลาถูกรังแกทุกวันจึงเบื่อหน่ายต่อชีวิต ประสงค์จะฆ่าตัวตาย ถือหม้อน้ำออกจากเรือนทำทีว่าจะไปตักน้ำ แล้ววางหม้อน้ำไว้ข้างทางเข้าไปยังป่าชัฏ ผูกเชือกที่กิ่งของต้นไม้ซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ เพื่อทำเป็นบ่วงผูกคอตาย มองไปรอบทิศเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ดูน่าพอใจและน่าเลื่อมใส เกิดความคิดว่า ทำไฉนพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโปรดคนเช่นเราให้พ้นความลำเค็ญ

     เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียก นางรัชชุมาลาก็เข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วฟังธรรมได้บรรลุโสดาบัน จากนั้นนางก็นำหม้อไปตักน้ำแล้วกลับเรือนไป คนในเรือนรู้เรื่องของนางรัชชุมาลา จึงนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันที่เรือน เมื่อฟังธรรมแล้วก็ดำรงอยู่ในสรณะและศีล การจองเวรของทั้งสองนางก็สิ้นสุดลง เมื่อนางรัชชุมาลาตายก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น